ชื่อหนังสือ คิดใหม่ สู่จิตเศรษฐี (สาละพิมพการ พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ.2560) ได้จากชื่อข้อเขียน เรื่องจิตเศรษฐี...ผศ.ดร.วิรณัฐ โรจนประภา ขึ้นต้นไว้ว่า
ทุกคนอยากเป็นเศรษฐี แต่มีน้อยคนนักที่ทราบความหมายแท้ๆของคำคำนี้
เศรษฐี เปิดพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตฯ จะพบ 2 คำ 2 นัย นั่นคือคำว่า ผู้มั่งคั่ง กับประมุขพ่อค้า แต่หากเอาสระอีออก เหลือแต่คำว่า “เศรษฐ” ก็จะหมายถึง ดี เลิศ ประเสริฐ
พอเป็นคำคุณศัพท์ หมายถึง ความดี แต่พอเป็นคำนาม กลายเป็นเรื่องของความมั่งคั่ง
ใครที่เป็นเศรษฐี ก็ควรสงสัย จะได้หาคำตอบ ไม่งั้นหากตั้งเป้าผิด หากเป็นการเดินทางด้วยเวลาทั้งชีวิต เมื่อองศาที่ตั้งต้นคลาดเคลื่อนเพียงนิด เป้าหมายที่ไปถึง อาจอยู่กันคนละทวีป ที่ฝันอยากเป็นเศรษฐี สุดท้ายอาจเป็นยาจก
สาเหตุสำคัญ ก็เพราะองศาหรือความเข้าใจ สิ่งที่ตัวเองอยากนั้นผิด ไม่เข้าใจความหมายของเศรษฐีที่แท้ หลับหูหลับตาเดินไปเลย
อย่าว่าแต่ความหมายตามนัยที่ถูกต้องเลย แม้แต่ความหมายตามค่านิยมสังคมปัจจุบันตั้งไว้ ก็ยังหาจุดวัดความเป็นเศรษฐีที่แท้กันลำบาก
บางคนต้องมีพันล้าน ถึงจะเป็นเศรษฐี แต่บางคนแค่มีเงินแสน หอบกลับบ้านเกิด เพื่อนบ้านก็เรียกเศรษฐี บางคนโชคดีได้มรดกสิบล้าน ลาออกจากงานมานั่งบริหารเงินอย่างสบายใจ
แต่อีกหลายคน มีหลายพันล้าน ก็ยังพอไม่เป็น ยังหยุดโหมเร่งโกยเงินเพิ่มไม่ได้
อยากเป็นเศรษฐี ควรทราบถึงความหมายที่แท้จริง จะได้ไม่แฉลบ ออกนอกทาง เริ่มกันจากต้องเชื่อเสียก่อนว่า แท้จริงแล้ว ความหมายของทั้งคำว่า “เศรษฐ” และ “เศรษฐี” เป็นเรื่องเดียวกัน
“เพราะเศรษฐี เขาวัดกันที่ ความดี เลิศ ประเสริฐ” ผศ.ดร.วิรณัฐ ย้ำ
ถ้าสังเกตก็จะเห็นการแปลความหมายของเศรษฐี มีการกล่าวถึงคำว่า “ประมุขพ่อค้า” เศรษฐีก็คือสิ่งนั้น เศรษฐีคือพ่อค้าที่ทำงานจนสำเร็จแล้ว ก็มีความเอื้ออาทร
...
พ่อค้าต่างแดนเดินทางค้าขายระหว่างเมือง ตั้งโรงทานไว้คอยช่วยเหลือ ตัววัดความเป็นเศรษฐีในอดีตก็คือการมีโรงทานแบ่งปันคนอื่น มี 1 โรง ถูกยกให้เป็นเศรษฐีประจำเมือง มีครบ 4 มุมเมือง ก็ให้ตำแหน่ง “มหาเศรษฐี”
เศรษฐ เศรษฐี รากศัพท์เดียวกัน ก็คือเรื่องเดียวกัน ต้องค้าขายสำเร็จ มีทรัพย์สินพอเพียง ใจใหญ่เหนือพ่อค้าอื่นๆ คือประมุขพ่อค้า
มีจิตใจดี เลิศ ประเสริฐ มีใจเป็นเศรษฐ ช่วยเหลือคนอื่น ถึงจะครบถ้วนคำว่าเศรษฐีที่แท้
แต่ถ้าเป็นคนที่ทำงานเก็บเงิน มากเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ คนแบบนี้ ก็ยังเรียกว่าคนจน
ทำงานเก็บเงินพอ ใจไม่โลภมาก อย่างนี้พอจะเรียกคนรวย จนกระทั่งมีเงินมากพอ จนแบ่งปันคนอื่นได้ ถึงจะคู่ควรกับคำว่าเศรษฐี
ถ้าเศรษฐีเริ่มด้วยการมีจิตเศรษฐี ตามนิยาม ผศ.ดร.วิรณัฐ ผมเห็นเศรษฐีมหาเศรษฐีในเมืองไทยเหลือไม่กี่คน แล้วก็ทำให้ผมพานไปสงสัยพวกนักการเมือง
ส่วนใหญ่รวยระดับเกินพอ คนหนึ่งรวยล้น เรียกชื่อตัวเองว่า “ไพร่หมื่นล้าน”
กระทั่งคนฟากรัฐบาล ตอนนี้กำลังเพลินบท เสี่ยสั่งลุย แจกไม่อั้น จนถูกเหน็บแนมว่า สากกะเบือ ถ้าแจกได้ก็แจกไปแล้ว ยังยั้งมือเอาไว้ ยังไม่แจกเรือรบ
แจกกันยิ่งกว่ามหาเศรษฐีตั้งโรงทานสี่มุมเมืองสมัยโบราณ จะเรียกคนเหล่านี้เศรษฐีก็ไม่เต็มปาก เพราะเขาไม่ได้แจกเพราะจิตกุศล แต่แจกกันเพราะหวังคะแนนเลือกตั้ง
ข้อดีที่ผมเห็น ให้เวลาพ่อค้านักการเมืองเขาตุนเงินมาสี่ห้าปี นี่เป็นโอกาสเดียว ที่ชาวบ้านจะได้ถอนทุน มากน้อยก็พอแก้กระหาย ดีกว่าไม่ได้อะไรเสียเลย.
กิเลน ประลองเชิง