ทัพเรือภาคที่ 2 ร่วมกับ ศรชล.ภาค 2 จับกุมเรือประมงสัญชาติเวียดนาม 2 ลำ เข้ามาทำการประมงผิดกฎหมายในน่านน้ำไทย ส่ง ร.ล.ท้ายเหมือง ประกบเข้าฝั่ง ก่อนคุม 14 ลูกเรือดำเนินคดีตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทัพเรือภาคที่ 2 ร่วมกับ ศรชล.ภาค 2 ได้รับแจ้งเบาะแสจากแหล่งข่าวในพื้นที่ว่ามีเรือประมงต่างชาติเข้ามาทำการประมงผิดกฎหมายในน่านน้ำไทย บริเวณแบริ่ง 086 ระยะ 120 ไมล์ จากทุ่นไฟปากร่องสงขลา ซึ่งอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ

พลเรือโท สุนทร คำคล้าย ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2/ผอ.ศรชล.ภาค 2 ได้สั่งการให้เรือหลวงท้ายเหมือง ลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ โดยในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 เวลา 04.30 น. เรือหลวงท้ายเหมือง ได้ตรวจพบเรือประมงสัญชาติเวียดนามจำนวน 2 ลำ กำลังลักลอบทำการประมงโดยการลากอวนคู่ บริเวณแบริ่ง 086 ระยะ 120 ไมล์ จากทุ่นไฟปากร่องสงขลา (เขตน่านน้ำเศรษฐกิจจำเพาะ) ผู้ควบคุมพร้อมลูกเรือทั้ง 2 ลำ รวมจำนวน 14 คน

จากการตรวจสอบภายหลังหยุดเรือ พบว่า เรือออกมาจากเมืองกาเมา ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 65 โดยทำการประมงมาแล้ว 4 วัน จึงได้ควบคุมเรือพร้อมลูกเรือทั้งหมดมาทำการสอบสวนที่ท่าเทียบเรือฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 เพื่อสอบสวนเพิ่มเติมและส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

...

ผู้บัญชาการทัพเรือภาค 2 กล่าวว่า การดำเนินคดีกับเรือประมงสัญชาติเวียดนาม เนื่องจากเป็นการจับกุมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะ จึงได้ตั้งข้อกล่าวหาผู้กระทำความผิดไว้ 3 ข้อหา คือ
1. ใช้เรือประมงไร้สัญชาติทำการประมงในเขตการประมงไทย
2. ร่วมกันทำการประมงพาณิชย์โดยไม่มีใบรับอนุญาตทำการประมง
3. ทำการประมงในเขตการประมงไทย โดยทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมเรือโดยไม่ได้รับอนุญาต

ทั้งนี้ การจับกุมเรือประมงต่างชาติในพื้นที่ ทัพเรือภาคที่ 2 ในปีงบประมาณ 2565 การจับกุมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 10 รวมเรือทั้งหมด 14 ลำ ผู้ควบคุมเรือพร้อมลูกเรือรวม จำนวน 70 คน ทัพเรือภาคที่ 2 และ ศรชล.ภาค 2 ขอขอบคุณพี่น้องชาวประมงในความร่วมมือที่ได้แจ้งเบาะแสของเรือที่กระทำความผิด และขอให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนและชาวประมงไทยว่า “ในพื้นที่รับผิดชอบของ ทัพเรือภาคที่ 2 ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 113,275 ตารางกิโลเมตรนั้น เราจะปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างเต็มความสามารถ โดยมิยอมให้เรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในการทำการประมงเป็นอันขาด ทั้งนี้เพื่อให้ทรัพยากรของประเทศไทยคงอยู่กับลูกหลานของคนไทยตลอดไป”.