ต้องยอมรับว่าเรื่องราวของ “สาวจีน” ที่รอดตายจากกรณีถูกสามีผลักตกหน้าผาที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เมื่อ 5 ปีก่อน แล้วย้อนกลับมาขอบคุณเจ้าหน้าที่อุทยาน ที่ผมเขียนถึงเมื่อวานนี้ เป็นข่าวที่ฮิตมากในโซเชียลมีเดีย

ข่าวโทรทัศน์หลายช่องที่นำเสนอเรื่องนี้ แล้วนำมาลงใหม่ในยูทูบมีคนติดตามช่องละหลายหมื่นวิว และบางช่องก็ทะลุแสน

ประกอบกับคดีของเธอก็เหมือนมินิซีรีส์ในหนังจีน หนังเกาหลี ซึ่งเป็นคดีฆาตกรรม สามีตั้งใจฆ่าภรรยาด้วยการผลักตกเหว เพื่อฮุบมรดก แต่ภรรยากลับรอดตายราวปาฏิหาริย์ ทั้งคนไทยช่วยและต้นไม้ไทยช่วย (เธอหล่นไปปะทะกับต้นไม้ที่ขึ้นริมผา ทำให้ผ่อนหนักเป็นเบา)

ต่อมาสามีของสาวจีนก็ถูกจับ ถูกดำเนินคดี  และศาลฎีกาพิพากษาว่ามีความผิดฐานพยายามฆ่าคนด้วยการไตร่ตรองไว้ก่อน ลงโทษจำคุกถึง 33 ปี 4 เดือน ทำให้เนื้อหาของข่าวทั้งหมดน่าสนใจน่าติดตาม

จึงไม่แปลกอะไรที่สื่อออนไลน์ โดยเฉพาะในยูทูบ จะมีการนำเสนอจากหลายๆสำนัก และยูทูบเบอร์อิสระต่างๆ

ผมเองอ่านข่าวไป ดูข่าวดูรายงานในยูทูบไป ก็พลอยปลื้มไปด้วย เพราะมีการเผยเบื้องหลังให้ทราบว่า เหตุที่เธอไม่กล้าบอกใครตอนแรกว่าโดนผลักตกเขา เพราะกลัวพ่อสามีที่มานั่งเยี่ยมไข้ตลอดเวลานั่นเอง

สามีเธอข่มขู่เธอเป็นภาษาจีนว่า ลื้ออย่าบอกใครนะ อั๊วเอาลื้อตายแน่ๆ เผอิญมีพยาบาลที่รู้ภาษาจีน ฟังออกจึงบอกหมอใหญ่...

คุณหมอก็ให้ความร่วมมือ ห้ามสามีมาเยี่ยมไข้ โดยอ้างเหตุผลทางการแพทย์ จนภรรยาอยู่คนเดียวและเล่าเรื่องราวต่างๆอย่างละเอียด นำไปสู่การแจ้งความและจับกุมสามีเธอในที่สุด

กลายเป็นว่าตัวละครที่ช่วยเหลือในเรื่องนี้ไม่ใช่มีเฉพาะเจ้าหน้าที่อุทยานผาแต้มเท่านั้น ยังมีพยาบาลและมี “หมอ” เข้ามาช่วยด้วย

...

รวมทั้งตำรวจสถานีตำรวจภูธรโขงเจียมก็เข้ามาทำคดีอย่างสุดความสามารถ จนศาลฎีกาตัดสินจำคุกยาวหลายปีดังกล่าว

แต่ที่สำคัญที่สุดที่ผมอยากจะพูดถึงเพิ่มเติมในวันนี้ก็คือ กรณีของการรักษาพยาบาล สาวจีนที่ชื่อ หวัง หนาน นี่แหละครับ

อย่าลืมนะครับว่าตอนที่ นางหวัง หนาน ร่วงลงนอนกองกับพื้นหินด้านล่างนั้น แม้เธอจะได้ต้นไม้ที่ยื่นจากหน้าผามาช่วยปะทะไว้ส่วนหนึ่งแต่เธอก็อยู่ในสภาพดังนี้ครับ

“กระดูกต้นขาซ้ายหัก กระดูกเข่าแตกทั้ง 2 ข้าง แขนซ้ายหัก ไหปลาร้าซ้ายหัก กระดูกเชิงกรานหัก ฯลฯ และ ฯลฯ”

การที่เธอฟื้นกลับมาเดินเหินได้ (ดูจากคลิปก็คล่องแคล่วดี) เหมือนเดิมเช่นนี้เราจะไม่ชื่นชม คณะแพทย์ ผู้ดูแลรักษาเธอได้อย่างไรล่ะครับ

จึงต้องขอปรบมือให้ทั้งคุณหมอที่โรงพยาบาลโขงเจียมที่เป็นโรงพยาบาลระดับอำเภอและโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลระดับจังหวัดไว้ ณ ที่นี่ด้วยเช่นกัน

หมอกระดูกไทยได้ชื่อว่าเป็นหมอกระดูกที่เก่งมาก เก่งทั้งในระดับโรงเรียนแพทย์อย่างศิริราช อย่างจุฬาฯ อย่างรามาธิบดี ฯลฯ ไปจนถึงระดับจังหวัดต่างๆ

เพื่อนผมรายหนึ่งเพิ่งกลับมาผ่าเข่าทั้ง 2 ข้างพร้อมๆกันที่โรงพยาบาลศิริราชทนเจ็บแป๊บเดียวกับทำกายภาพอีกสัก 2 เดือนมั้ง เดินปร๋อไปขึ้นเครื่องบินกลับสหรัฐฯไปเมื่อหลังสงกรานต์นี่เอง

ชมกับผมเลยว่าหมอกระดูกไทยเก่งกว่าที่อเมริกา เพราะที่โน่นจะผ่าทีละเข่า ทำให้เพื่อนอีกคนที่ผ่าก่อนเขาตั้งเกือบปีที่อเมริกายังเดินไม่ได้คล่องจนทุกวันนี้ เพราะต้องรอผ่าอีกข้าง

ผมเคยเขียนถึง “หมอกระดูก” ของไทยเราลงคอลัมน์นี้หลายครั้ง โดยเฉพาะหมอกระดูกที่ศิริราชที่ยกทีมไป “ผ่าเข่า” คนจนที่ประเทศเนปาล ณ เมืองกบิลพัสดุ์ ที่ประสูติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว

เมื่อมาอ่านข่าว นางหวัง หนาน ว่าเธอบาดเจ็บกระดูกหักไปทั้งตัวขนาดนั้นยังฟื้นกลับมาเดินเหินได้อย่างคล่องแคล่วทุกวันนี้ก็ยิ่งนึกถึงความสามารถของหมอกระดูกของประเทศเรา

แสดงว่าหมอกระดูกของเราเก่งทุกโรงพยาบาลนะครับ ไม่เฉพาะแต่ตามโรงเรียนแพทย์ใหญ่ๆเท่านั้น ที่อุบลราชธานีก็มีหมอเก่งๆเช่นกัน

ใช้ข่าวนี้ประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในเรื่องเป็นศูนย์การแพทย์หรือ Hub ของอาเซียน ได้เลยว่าเราเก่งทุกโรคอยู่แล้วไม่ว่าโรคปอด โรคหัวใจ หรือโรคกระดูก ยกตัวอย่างกรณีคุณหวัง หนาน โดนผลักตกผา 34 เมตร กระดูกหักไปทั้งตัว แต่กลับมาเดินปร๋อนี่แหละครับ.

“ซูม”

คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม