บรรยากาศหลังพ้นเทศกาลปีใหม่ 2561 โรงรับจำนำที่ขอนแก่นเงินสะพัดมีประชาชนใช้บริการกว่า 800 คนคิดเป็นเงินกว่า 12 ล้านบาท โดยเอามาจำนำทั้ง เบ็ดตกปลา ผ้าขาวม้า ก็มีแต่ฮิตสุด คือ ทองรูปพรรณ...

เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2561 ที่สถานธนานุบาลเทศบาลนครขอนแก่น 2 หรือโรงรับจำนำแห่งที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนกลางเมือง ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น นางสุวิมล วิคแมน ผู้จัดการสถานธนานุบาลเทศบาลนครขอนแก่น 2 เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว ถึงการมาใช้บริการของประชาชน หลังจากสิ้นเทศกาลปีใหม่ ที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวันว่า โรงรับจำนำหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่ไปหลายวัน และมาเปิดบริการในวันที่ 3 มกราคม ซึ่งพอเปิดให้บริการก็มีประชาชนมาใช้บริการจำนวนมาก โดยตั้งแต่วันที่ 3-4-5 เพียง 3 วัน ประชาชนมาใช้บริการเกือบ 800 คน เงินหมุนเวียนกว่า 12 ล้านบาท

ผู้มาใช้บริการ นำสิ่งของมาจำนำไว้ มีทั้ง เบ็ดตกปลา ผ้าขาวม้า ขันเงินพร้อมถาดรอง จักรเย็บผ้า มากที่สุดคือทองรูปพรรณ รวม 3 วัน รับจำนำไปเป็นเงินทั้งหมด 5,807,600 บาท นอกจากนี้ยังมีประชาชนมาใช้บริการไถ่ถอนทรัพย์สินกลับคืนไปอีกจำนวนมาก โดยในช่วงเวลา 3 วัน เป็นเงินทั้งหมด 6,362,300 บาท

ผู้จัดการสถานธนานุบาลเทศบาลนครขอนแก่น 2 เปิดเผยต่ออีกว่า การให้บริการหลังเทศกาลปีใหม่ ปี 2561 ถือเป็นประวัติการณ์ก็ว่าได้ เพียง 3 วัน เงินสะพัดกว่า 80% หรือ 12,376,014 บาท เพราะในปีที่ผ่านๆ มา ประชาชนจะมาใช้บริการเยอะ ในช่วงใกล้วันเปิดเทอมเท่านั้น แต่ปีใหม่ปีนี้โรงรับจำนำไม่เงียบเหงา เพราะประชาชนมาใช้บริการจำนวนมาก ซึ่งในจุดนี้ไม่มีปัญหา เพราะทางโรงรับจำนำ เตรียมเงินสำรองไว้ 78 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้สามารถให้บริการไปได้ถึงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ 

“อาจเป็นเพราะมีประกาศของสำนักงานคณะกรรมการจัดการสถานธนานุบาล ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือประชาชน สำหรับผู้ที่นำทรัพย์สินมาจำนำในระหว่างวันที่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2561 ระยะเวลา 12 เดือน เงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 ต่อเดือน และเงินต้นเกิน 5,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน ทำให้ประชาชนมาใช้บริการจำนวนมากขึ้น สำหรับทรัพย์สินที่นำมาจำนำนั้น มีหลากหลาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะพิจารณาให้ราคาไปตามคุณภาพของทรัพย์สินแต่ละชิ้นที่นำมา มีทั้งราคาหลัก 100 ถึงหลักหมื่น เพราะทุกคนเข้ามาใช้บริการโรงรับจำนำแล้ว จะได้เงินกลับไปใช้จ่ายในบรรเทาความเดือดร้อนในครอบครัวทุกราย” นางสุวิมล กล่าวในที่สุด

...