นิสัยคนไทยคงลืมเลือนกันไปแล้ว...กับบิ๊กโปรเจกต์ซีรีส์นิคมอุตสาหกรรมจะ “ถมทะเล” แหลมฉบัง 3,000 ไร่ ภายใต้โครงการส่วนขยายปิโตรเคมีปี 2562 ที่ทำเอาชาวบ้านแถวนั้นวี้ดว้ายจะหาเรือมารับจ้างขนหินไปทิ้งปูทาง...กะจะรวยกันแบบฉับพลันทันตาในคราวนั้น

ผ่านมาถึงวันนี้เรื่องเดินไปถึงไหนไม่รู้...รู้แต่ว่าคล้ายจิ้งจกร้องทักด้วยเสียงนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมแสดงความห่วงใยผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและวิถีประมงชายฝั่ง เนื่องจากแหล่งทำกินหดสั้นจนอาจต้องสัญจรหาที่ทำกินใหม่

อีกทั้งทำลายระบบนิเวศทางทะเลเมื่อเกิดขุ่นตะกอนลอยสูงรบกวนการหายใจของสัตว์น้ำอย่างเลือดเย็น...กรณีสถานะทางสมุทรศาสตร์เกิดปิดกั้นการเคลื่อนที่ของกระแสน้ำ ผลร้ายที่ตกตามมาคือ...ชายหาดพัทยาที่มนุษย์ลือกันให้แซ่ดสนั่นโลกว่า โค้งรีดั่งจันทร์คืนแรมจะเว้าแหว่งเพราะถูก “น้ำเซาะทราย”

พัดหายไปปีละกว่า 3 เมตรเป็นอย่างน้อย...นิทานเลียน “อีสป” เรื่อง “ลาโง่กินน้ำค้าง” จึงจางหายไปนับแต่บัดนั้น

...

ทว่า...มหาโปรเจกต์ขุดแล้วถมหาดพัทยา-นาจอมเทียน และหาดบางแสนของชนชั้นกรรมาชีพมิได้จบแค่นั้น...เมื่อกรมเจ้าท่าอ้างการศึกษา พบว่า นับแต่ปี 2510-2558 ชายหาดภาคตะวันออกได้สูญหายไปแล้วกว่า 60 ไร่ จากการถูกกระแสน้ำกัดเซาะและหากปล่อยทิ้งไว้อนาคตคงไม่เหลือเม็ดทรายไว้ให้เห็นอีกต่อไป

กระแสที่ว่านี้ทำเอากลุ่มนักวิชาการสมุทรศาสตร์ทางทะเลขนลุกซู่ ด้วยกลัวอุบัติการณ์จะสวนกระแสที่ว่าเมื่อมีการถมทะเลวันใดย่อมหมายถึงการฆาตกรรมหาดพัทยาวันนั้น และยังฉงนต่อการคิดบิ๊กโปรเจกต์

ขณะปัญหาหญ้าปากคอกอย่างเรือเจ็ตสกีหรือสกูตเตอร์ยังหลงทางจะเป็นเรือติดเครื่องยนต์ท้ายก็ไม่ใช่มอไซค์ลอยทะเลก็ไม่เชิง ที่สุดเหมารวมเป็น “เรือเพื่อเช่า” แทนคำว่า “เรือสำราญกีฬา” ในการจัดระเบียบแก้ปัญหาธุรกิจชนิด “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” จนวันนี้

“พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”...เมื่อนักวิชาการระหว่างฝ่ายไม่เห็นด้วยถมทะเล กับฝ่ายเจ้าท่ากระต่ายขาเดียวถม “หาดจริง” สร้าง “หาดเทียม” นาจอมเทียน เฟสแรกระยะทาง 3.5 กิโลเมตรกว้าง 50 เมตรแล้วเสร็จไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมากับเฟสสอง 3 กิโลเมตรกว้าง 50 เมตร

เริ่มปีนี้กำหนดแล้วเสร็จปลายปี 2568...คุยเชิงประกาศให้รู้ด้วยว่าสุดสวยอลังการรักษาระบบนิเวศดีเยี่ยม สร้างงานปั่นรายได้แก่ชุมชนเสมอ “ซอฟต์เพาเวอร์” ฟื้นฟูท่องเที่ยวตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี...ว่าไปนั่น!

แว่วว่างานนี้ใช้งบประมาณสมัยรัฐบาลสร้างนิสัยคนไทยขยัน “เที่ยวด้วยกัน” แบบ “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” แค่ 986 ล้านบาท...สะกิดใจอดีตนักวางแผนผู้เคยจัดทำแผนแม่บทพัฒนาเมืองท่องเที่ยวหลักภาคตะวันออกอย่างพัทยาเมื่อ 50 กว่าปีก่อน ที่ร่วมกับ “ไจก้า” หรือ“องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น” ถึงกับอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาแย้งโจทย์ข้อนี้

“แผนที่ว่าจัดทำขึ้นขณะพัทยายังเหมือนทารกเพิ่งหัดเดิน จะได้ไม่เป็นลูกปูเดินตามแม่ปู โดยคำนึงถึงธรรมชาติเป็นสำคัญเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวปราศจากสิ่งแปลกปลอม ป้องกันถนนเลียบหาดจำกัดเป็นโซนต้องห้ามรถทุกชนิดให้คนเดินลงชายหาดอย่างปลอดภัย โรงแรมริมหาดต้องสูงไม่เกินยอดมะพร้าว

รักษาภูมิทัศน์เมือง...แต่ทุกอย่างล้มเหลวหมดอย่างที่เห็น”

อดีตนักวางแผนบอก...ทัศนะอุจาดยังลามไปถึงหาดนาจอมเทียน ซึ่งแต่เดิมสวยและสงบไร้มลภาวะ ไม่นานอีหรอบเดียวกับพัทยาคือสิ่งจอมปลอมเต็มหาด

มาวันนี้...ถมทะเลขยาย “หาดธรรมชาติ” เป็น “หาดเทียม” ด้วยงบประมาณ 986 ล้านบาทอ้างถูกน้ำกัดเซาะและสร้างมุมมองใหม่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เคยมีมากถึงปีละ 18 ล้านคนทำรายได้นับหมื่นล้านฯ

สถานการณ์เช่นนี้อดีตนักวางแผนรายเดิมชี้ว่า ปัจจุบันเรากำลังให้ความสำคัญ “ท่องเที่ยว” เป็นแก้วสารพัดนึกช่วยแก้ปัญหาสารพันจนเกินเลย และน่าเป็นห่วงถึงความคุ้มค่ากับการใช้ทรัพยากรแลกเปลี่ยนทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม วิถีชีวิต...ตัวอย่างเห็นได้ชัดช่วงวิกฤติโควิดที่ท่องเที่ยวโตแบบพองลม

...

ครั้น...ประสบปัญหาถึงพากันล้มระเนนระนาด

การสร้างธรรมชาติเทียมก็เช่นกันใครจะการันตีได้ว่าหาดจะไม่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะเปลี่ยนทิศทาง ต้องไม่ลืมบ้านเรามีแนวหาดทรายทั่วประเทศ 1,630.70 กิโลเมตร มากพอใช้ขายการท่องเที่ยวโดยไม่แตะต้อง...

สิงคโปร์ยอมถมทะเลสร้างสนามบินชางงีขึ้นชั้น “ฮับ” อาเซียนแล้วสร้างหาด “ซิโลโซ่” เกาะเซนโตซ่าให้ประชาชนทดแทน เพราะไม่มีหาดทรายเหมือนไทย ฮ่องกงตัดสินใจถมทะเลเนรมิตสนามบิน “ไขตั๊ก” เมื่อเกือบร้อยปี ญี่ปุ่นมีสนามบินฮาเนดะกับนาริตะชานโตเกียวไม่พอรับเที่ยวบินพาณิชย์

...จึงถมทะเลสร้างสนามบิน “คันไซ” โอซากา

เวียดนามถมทะเลหมู่เกาะสแปรตลีย์ทางทะเลจีนใต้บนแนวหินแบบปกปิด สร้างท่าเทียบเรือเช่นฟิลิปปินส์ มาเลเซียยกเลิกความคิดถมทะเลทำ “มะละกาเกตเวย์” ด้วยเกรงจะกระทบต่อระบบนิเวศ...

ทั้งหมดเหล่านี้ไม่เห็นประเทศใดในหล้าคิดถมทะเลทำหาดจอมปลอมเหมือนพัทยา–นาจอมเทียน แลกกับสมดุลธรรมชาติที่หายไป?

ประเด็นร้อนๆนี้ผู้ประกอบการละแวกนั้นกระซิบเบาๆ...เฟสแรก 3 กิโลครึ่งเป่าคาถาเสร็จตกอยู่ในเขตบริหารจัดการโดยเมืองพัทยา ลักษณะกายภาพจึงถอดแบบจากออริจินัลคือมีเก้าอี้ผ้าใบร่มกางขายสินค้าเกลื่อนหาด...ได้ความว่าสงวนสิทธิ์ให้เฉพาะผู้ค้าหน้าเดิมที่จ่ายภาษีเงินได้หรือ “ภ.ง.ด.90” ประจำปีเมืองพัทยา

...

รายละ 1 ล็อกหน้าหาดกว้างจากทางเท้าถึงหาดเทียม 7 เมตรยาว 9 เมตร...ห้ามซื้อขายถ่ายโอนกันเด็ดขาด

แต่บางรายสามารถกางได้ยาวพรึบ 18-27-36 เมตร โดยเมืองพัทยาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหรือไม่รู้ไม่ชี้?...ยิ่งแปลกกว่านั้นหาดเทียมอีกแปลงยาว 3 กิโลเมตรอยู่ในความรับผิดชอบเทศบาลตำบลนาจอมเทียน อ.สัตหีบ...กลับห้ามผู้ใดรุกล้ำทำการค้าทุกชนิดทั้งที่อยู่บน “หาดเทียม” เดียวกัน

เอาว่าฝ่ายหนึ่งถือกฎหมายเมืองพิเศษ อีกฝ่ายคาบคัมภีร์เทศบัญญัติคนละฉบับจึงเอวังแบบนี้?

และที่พิสดารอีกอย่าง...คือไร้การจัดระเบียบถนนเลียบหาดร่วม 10 กิโลเมตร เชื่อมเมืองพัทยากับเทศบาลตำบลนาจอมเทียน ซึ่งมีพื้นผิวจราจรกว้าง 6 เมตรไหล่ทางด้านละ 1.5 เมตร กลับปล่อยให้รถจอดนิ่งบนไหล่ทางปิดถนนเดินรถให้แคบลง ทางเดินเท้าก็ไม่ต่างอะไรกันขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ

...มีเศษสิ่งปฏิกูลรกเป็นกาฝากประดับ “หาดเทียม” ตั้งแต่เขตเมืองพัทยาถึงนาจอมเทียน

สิ่งคาดหวังที่อยากให้เกิดและมี “หาดเทียม”...มูลค่า 986 ล้านบาทจะเป็นนวัตกรรมใหม่พัทยา–นาจอมเทียน เพื่อเป็น “นิวโมเดล” เมืองท่องเที่ยวทางทะเลอื่นๆ...จึงเป็นได้แค่ “ฝันค้าง”กลางวันเสียมากกว่าจะเป็นจริง?

...