สาวโรงงานสุดช้ำ ถูกหนุ่มอ้างตัวเป็นทหาร ยศ จ.ส.อ. แถมเป็นบอดี้การ์ดนักการเมืองท้องถิ่น ทำวิวาห์ล่ม-สูญเงินหลายแสนจัดงานแต่ง พอถึงฤกษ์กลับไม่มาตามนัด-ติดต่อไม่ได้เงียบหายเข้ากลีบเมฆ วอนฝ่ายชายถ้าแมนจริง กลับมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วย

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 65 ผู้สื่อข่าวปราจีนบุรีได้รับแจ้งร้องทุกข์ จาก น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 40 ปี สาวโรงงานแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมใน จ.ปราจีนบุรี ว่า ถูกชายคนหนึ่งอ้างตัวเป็นทหารตกลงจะแต่งงานกัน เมื่อถึงวันงานกลับไม่มาตามนัด ทำให้ครอบครัวต้องเป็นหนี้หลายแสนบาท เนื่องจากนำเงินมาจัดงานแต่ง จึงอยากให้ฝ่ายชายมารับผิดชอบ

ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นบ้านของ น.ส.เอ (ฝ่ายเจ้าสาว) ที่ยังอยู่ในอาการเหม่อลอย ซึ่งมีญาติๆ และครอบครัวคอยให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา และทางครอบครัวยังเก็บข้าวของหลายอย่างในพิธีแต่งงาน รวมทั้งบิลค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในงานมูลค่ารวมเกือบ 3 แสนบาท ไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ น.ส.เอ ยังนำภาพถ่ายในงานแต่งที่ไม่มีเจ้าบ่าวมาให้ผู้สื่อข่าวได้ดูอีกด้วย

จากการสอบถาม น.ส.เอ เปิดเผยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ตนกับแฟนหนุ่มได้คบหาดูใจกันมาตั้งแต่เมื่อช่วงเดือน ธ.ค. 2564 ตลอดเวลาที่คบกันฝ่ายชายบอกกับตนว่า เขาเป็นทหารยศจ่าสิบเอก และยังอ้างว่าเป็นบอดี้การ์ดให้กับนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ ต.นาดี ด้วยบุคลิกการแต่งกายและการพูดจาของฝ่ายชาย ตนจึงเชื่อว่าฝ่ายชายเป็นทหารและเป็นบอดี้การ์ดของนักการเมืองท้องถิ่นจริง จึงไม่ได้สอบถามอะไรเพิ่มเติม ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันฝ่ายชายเป็นคนนิสัยดีเสมอต้นเสมอปลาย เข้ากับครอบครัวและญาติของตนได้เป็นอย่างดี

น.ส.เอ เปิดเผยต่อว่า ก่อนเกิดเหตุฝ่ายชายได้มาพูดคุยกับตนบอกว่าจะขอแต่งงาน แต่เนื่องจากตนเคยแต่งงานมาแล้วครั้งนึง จึงบอกฝ่ายชายไปว่าไม่อยากจัดงานใหญ่โต แต่ทางฝ่ายชายอยากได้งานใหญ่นิดนึงเพราะว่าเป็นทหาร อีกทั้งเป็นบอดี้การ์ดนักการเมืองท้องถิ่น และยังรู้จักคนใหญ่คนโตอีกหลายคน ดังนั้นตนจึงตามใจ ต่อมาฝ่ายชายได้มาพูดคุยกับพ่อแม่ตน โดยฝ่ายตนเรียกค่าสินสอดเป็นเงิน 2 แสนบาท และทอง 3 บาท ด้านฝ่ายชายก็รับปากจะหาเงินมาเป็นสินสอดให้ทันงานแต่ง ตอนแรกงานกำหนดไว้วันที่ 25 มี.ค. 2565 แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิดฯ จึงเลื่อนมาเป็นวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยฝ่ายชายเป็นคนดำเนินการเรื่องจัดหาดอกไม้มาจัดซุ้มวันงาน อาหารเครื่องดื่ม และวงดนตรี

...

น.ส.เอ เปิดเผยต่อว่า พอถึงงานเวลาประมาณ 02.00 น. ฝ่ายชายได้เก็บกระเป๋าแล้วบอกกับตนว่า จะไปนอนกับแม่และญาติๆ ที่มาจองรีสอร์ตอยู่ใกล้เคียงบ้านตน ส่วนตนต้องอยู่แต่งหน้าก่อนเริ่มงาน จึงมอบเงินให้ฝ่ายชายไปจำนวน 20,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ หลังจากนั้นเวลาประมาณ 06.00 น. หลานชายตนมาบอกว่า มีน้ำแข็งมาลงในงานต้องจ่ายเงินสด ตนจึงพยายามโทรหาฝ่ายชายให้นำเงินมาจ่าย และตามมาแต่งหน้าแต่งตัวเพราะอีก 1 ชั่วโมง จะมีพิธีสงฆ์แล้ว ด้านฝ่ายชายรับปากว่ากำลังมา พอถึงเวลาประมาณ 07.00 น.ต้องเข้าพิธี ตนจึงโทรหาฝ่ายชายอีกรอบ แต่ฝ่ายชายกลับบอกว่า กำลังมีปากเสียงเรื่องค่าสินสอดกับฝ่ายชายอยู่ แล้วจะรีบเข้ามาให้ทันพิธี และหลังจากนั้นก็ติดต่อฝ่ายชายไม่ได้อีกเลย

"เวลานั้นตนจึงคิดได้ทันทีว่า ฝ่ายชายได้หนีงานแต่งไปแล้ว ตอนนั้นรู้สึกช็อกและเสียใจมาก แต่เนื่องด้วยพิธีทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ตนจึงแข็งใจออกมาทำพิธีให้เสร็จ และต้อนรับแขกที่มาในงานเพียงคนเดียว หลังจากนั้นก็พยายามติดต่อไปยังฝ่ายชาย ก็ยังติดต่อไม่ได้ จึงได้ปรึกษากับครอบครัวและนำหลักฐานทั้งหมด เข้าแจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวันเอาไว้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยตามหาตัวฝ่ายชายมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายภายในงาน" น.ส.เอ เปิดเผย

น.ส.เอ เปิดเผยอีกว่า ตลอดเวลาที่คบกันนั้น ต้นพยายามจะไปเที่ยวบ้านฝ่ายชาย ที่อ้างว่าอยู่ จ.นครราชสีมา หลายครั้ง แต่ถูกฝ่ายชายพยายามบ่ายเบี่ยงโดยอ้างว่า ญาติติดโควิดฯ บ้าง แม่ติดโควิดฯ บ้าง ตลอดเวลาที่คบกันมาตนไม่เคยพูดคุยกับญาติฝ่ายชายเลยแม้แต่ครั้งเดียว

"ที่ตนออกมาเรียกร้องตามหาฝ่ายชายในวันนี้ ไม่ได้ร้องเรียกหาความรัก แต่ร้องเรียกหาความรับผิดชอบค่าใช้จ่ายภายในงานที่เกิดขึ้น จากความเป็นลูกผู้ชาย" น.ส.เอ เปิดเผย

ด้านพ่อ น.ส.เอ เปิดเผยว่า ตนเห็นฝ่ายชายมีนิสัยบุคลิกดีเสมอต้นเสมอปลายกับลูกสาว ดูแลความเป็นอยู่คนในบ้าน และลูกสาวก็รักชายคนนี้มาก พอฝ่ายชายมาสู่ขอตนก็เอะใจว่าทำไมไม่มีพ่อแม่ผู้หลักผู้ใหญ่เข้ามาพูดคุย ซึ่งทางฝ่ายชายอ้างว่า แม่และญาติป่วยไม่สามารถเดินทางมาได้ ตนเห็นว่าฝ่ายชายนิสัยดีเลยเรียกค่าสินสอดไปเป็นเงินจำนวน 2 แสนบาท และทองหนัก 3 บาท ซึ่งฝ่ายชายก็รับปาก และจะพาพ่อแม่พี่น้องมาในงานวันแต่ง แต่ก็ไม่คิดว่าฝ่ายชายจะทำแบบนี้กับครอบครัวและลูกสาวตน จึงอยากให้ฝ่ายชายกลับมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วย