รวบแล้ว “แก๊งแฮกเกอร์” ล้วง ข้อมูลส่วนตัว “เสี่ยหนุ่มประดับยนต์” นำไปใช้โอนเงินออกจากบัญชีแบงก์รวงข้าว สาขาพระนครศรีอยุธยา สูญเงินเกือบล้านบาท ตำรวจกรุงเก่าร่วมกับตำรวจสืบสวนภาค 7 แกะรอยตามล็อกตัวได้ทั้งแก๊ง รวม 6 คน สามในหกเป็นเยาวชน กลุ่มผู้ต้องหาเปิดปากรับสารภาพแบ่งหน้าที่กันล้วงข้อมูลเหยื่อและสวมรอยโอนเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ทำลักษณะนี้มาแล้ว 9 ครั้ง ได้เงินกว่า 3 ล้านบาท
กรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำตัวนายพันธ์สุธี มีลือกิจ อายุ 28 ปี ชาว จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าของร้านประดับยนต์ X-Bar Ayutthaya (เอ็กซ์บาร์ อยุธยา) เปิดขายผ่านทางเฟซบุ๊กเกี่ยวกับเครื่องประดับยนต์ เดินทางเข้าร้องทุกข์กับ ร.ต.อ.พงศกร เถาวัลย์ รอง สว. (สอบสวน) กก.1 บก.ปอท. กรณีถูกกลุ่มคนร้ายถอนเงินจากบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาพระนครศรีอยุธยา ไปจำนวน 986,700 บาท พร้อมนำเอกสารหลักฐาน อาทิ ภาพการสนทนากับคนร้าย ภาพกล้องวงจรปิด มามอบเป็นหลักฐานเมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมาตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 ส.ค. พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จ.พระนครศรีอยุธยา ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.สุรพงค์ ธรรมพิทักษ์ ผกก.สภ.พระนครศรีอยุธยา ร่วมกับชุดสืบสวนของ กก.สส.ภ.จ.พระนครศรีอยุธยา และชุดสืบสวน กก.สส.ภ.7 ให้ออกสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มคนร้าย กระทั่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาไว้ได้ 6 คน ประกอบด้วย นายเอกพจน์ หรือเบิ้ล รัตนากร อายุ 29 ปี อยู่ที่บ้านเลขที่ 34/2 หมู่ 7 ต.อ่างทอง อ.เมืองราชบุรี นายพัฒนะรสพงษ์ หรือต้อม ก้านสนธิ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 80 ต.อี่หลับ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ นายสุริไกร หรือต้น อนุมาศย์ อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49 หมู่ 12 ต.หลุ่มรัง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี และกลุ่มเยาวชนวัยรุ่นอายุระหว่าง 17-18 ปี อีก 3 คน โดยจับกุมตัวมาสอบสวนที่ สภ.พระนครศรีอยุธยา ทั้งหมดให้การรับสารภาพ
...
จากการสอบสวนกลุ่มผู้ต้องหาให้การตรงกันว่า ได้แบ่งหน้าที่กันทำโดยทำทีเป็นติดต่อสั่งซื้อสินค้าอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์จากผู้เสียหาย ผ่านทางแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊กเพื่อต้องการเอาข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายเกี่ยวกับเลขบัญชีธนาคาร บัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด รวมทั้งหมายเลขโทรศัพท์ แล้วหลอกลวงให้ผู้เสียหายไปสมัครใช้บริการการโอนเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ต จนทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อยอมทำตาม จากนั้นเมื่อผู้ต้องหารู้ข้อมูลจึงสวมรอยเป็นผู้เสียหายเข้าไปดำเนินการโอนเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ตแล้วนำเงินที่ได้เข้าบัญชีของเพื่อนร่วมขบวนการที่เตรียมไว้ก่อนจะมีการโอนผ่านไปอีกหลายบัญชี เพื่อปกปิดเส้นทางการเงิน
จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาจะค่อยๆทยอยถอนเงินออกจากบัญชีและนำไปแบ่งกันใช้จ่าย โดยได้เงินไปทั้งสิ้น 986,700 บาท นอกจากนี้ยังรับสารภาพอีกว่า เคยกระทำความผิดลักษณะเดียวกันนี้มาหลายพื้นที่รวม 9 ครั้ง ได้เงินรวมทั้งสิ้นกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งครั้งแรกได้ออกอุบายเป็นโต๊ะพนันบอลระหว่างประเทศผ่านอินเตอร์เน็ตและพัฒนามาสู่การหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ ส่วนเงินทั้งหมดที่ได้มานั้นก็เอาไปเที่ยวเตร่และเล่นการพนัน เบื้องต้นดำเนินคดีข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ และมีและร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม โดยชุดจับกุมจะนำแก๊งผู้ต้องหามาแถลงข่าวที่ บช.ภ.1 เวลา 10.00 น. วันที่ 25 ส.ค.นี้