ผู้เลี้ยงโคนมที่ราชบุรี เผยนมโคสดขาดตลาดตามที่แบรนด์ดังประกาศมีความเป็นไปได้ แต่ที่เป็นไปแล้ว คือ โคนมลดจำนวนลงจากโรคระบาด ความร้อน และคนเลี้ยงลดลงเพราะสู้ต้นทุนค่าอาหารที่สูง แต่ราคาน้ำนมดิบต่ำไม่ไหว แนะรัฐบาลใหม่ต้องรีบเข้ามากระตุ้น ปรับราคาน้ำนมดิบ เพื่อจูงใจให้คนเลี้ยงวัวนมต่อ
จากกรณีที่บริษัทผู้ผลิตนมชื่อดังออกมาเผยว่า ขณะนี้กำลังเผชิญกับสถานการณ์น้ำนมดิบขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง และโคนมกำลังเข้าสู่ช่วงพักรีดนม ทำให้สินค้ากลุ่มนมสดพาสเจอร์ไรส์มีจำนวนจำกัด
ต่อมาผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ จ.ราชบุรี หนึ่งในพื้นที่ที่มีการเลี้ยงโคนมกันเป็นจำนวนมาก พูดคุยกับ นางแมว (นามสมมติ) เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่ ต.ดอนกระเบื้อง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เปิดเผยว่า โอกาสที่น้ำนมดิบจะขาดตลาด ตามที่บริษัทผู้ผลิตนมรายใหญ่ประกาศมานั้น ก็มีโอกาสเป็นไปได้ในระดับหนึ่ง ทั้งจากจำนวนแม่โคที่ลดลง เพราะโรคระบาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เช่น โรคลัมปีสกิน โรคปากเท้าเปื่อยในโค และต้นทุนค่าอาหารสัตว์ ค่าไฟฟ้า และปุ๋ย และค่าอาหารสัตว์ที่เป็นหัวใจหลัก ได้เพิ่มขึ้นกระสอบละ 70 บาท มานานกว่า 1 ปี

...
"หลังจากเกิดสงครามระหว่างประเทศยูเครนกับรัสเซีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์รายใหญ่ของโลก โดยเกษตรกรจำต้องปรับเปลี่ยนคุณภาพของอาหารให้สอดคล้องกับรายได้ สวนทางกับราคาน้ำนมดิบ ทำให้ปัจจุบันเกษตรกรมีรายได้แบบอยู่กินไปวันๆ ไม่เหลือเก็บออมไว้ขยายกิจการเลย จึงเป็นปัจจัยให้เกษตรกรต่างพากันล้มเลิกอาชีพไปจำนวนมาก หากจะให้เปรียบเทียบคือ จากที่เคยมีอยู่ 10 ฟาร์ม เลิกเลี้ยงไป 3-4 ฟาร์ม ตอนนี้อาชีพเลี้ยงโคนม กลายเป็นอาชีพที่ผู้เลี้ยงเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ จนแทบจะไม่มีแรงเดิน ไม่มีแรงต่อสู้กันอีกต่อไป" นางแมว กล่าวด้วยความน้อยใจ

ด้าน นายสุบิน ป้อมโอชา อดีตประธานชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สำหรับปรากฏการณ์น้ำนมดิบขาดตลาด เคยเกิดขึ้นมาในประเทศไทยแล้วหลายครั้ง โดยปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากคลื่นความร้อน ปรากฏการณ์เอลนีโญในต่างประเทศที่เป็นแหล่งผลิตนมผง ทำให้ราคานำเข้าขยับสูงขึ้นเกือบเท่าตัว ผู้ผลิตภายในประเทศ จึงหันมาใช้น้ำนมดิบของเกษตรมากขึ้น แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ
อดีตประธานชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเรื่องของโรคระบาดและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ตลอดจนราคารับซื้อน้ำนมดิบที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุน ส่งผลต่อภาพรวมน้ำนมดิบของทั้งประเทศ จากเดิมที่เคยสามารถผลิตได้ประมาณ 3,300 ตันต่อวัน ลดลงมาเหลืออยู่ประมาณ 2,500 ตันต่อวัน หรือน้ำนมดิบหายไปร้อยละ 25 ของปริมาณน้ำนมดิบทั้งหมด

นายสุบิน กล่าวด้วยว่า หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ โดยส่วนตัวแล้วตนมองว่า ในอนาคตจำนวนเกษตรกรโคนมและปริมาณน้ำนมดิบภายในประเทศมีแนวโน้มที่จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรยังสามารถดำเนินอาชีพต่อไปได้ คงต้องขอฝากความหวังไว้ที่รัฐบาลใหม่ ให้เร่งพิจารณาปรับราคาน้ำนมดิบจากเดิมที่ 20.50 บาท ขึ้นอีก 2.25 บาท เป็น 22.75 บาท โดยเร็ว นอกจากนั้น อยากให้สนับสนุนแหล่งปลูกพืชอาหารสัตว์ในระบบแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุนการผลิต และทบทวนยกเลิกสัญญา FTA ปลอดภาษีนำเข้านม 0% จากประเทศคู่สัญญา.