"โกทร" นายสุนทร วิลาวัลย์ นักการเมืองผู้ยิ่งยงแห่งปราจีนบุรี จากผู้ถูกกล่าวหาในคดีร่วมบุกรุกป่าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ก่อนจะตกเป็นผู้ต้องหา ผู้ถูกฟ้องในคดี

ปัจจุบัน นายสุนทร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี อดีตส.ส.ปราจีนบุรี 8 สมัย อดีตรมช.สาธารณสุข บิดาของนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ได้ตกเป็นจำเลย

ถูกพนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในคดีอาญาหมายเลขดำ อท.69/2565 ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 151 และประมวลกฎหมายที่ดิน ร่วมกับพวกรวม 10 คน มีส่วนร่วมบุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติเขาใหญ่ จ.ปราจีนบุรี ในช่วงปี 2545

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 มีคำสั่งประทับฟ้อง และกำหนดนัดคุ้มครองสิทธิฯ พร้อมสอบคำให้การจำเลย ในวันที่ 5 ส.ค. 65 เวลา 09.30 น. ก่อนที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างพิจารณา โดยใช้หลักประกันเป็นเงินสด 600,000 บาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักรนั้น

วันที่ 22 มิถุนายน 2565 นายสุนทร วิลาวัลย์ นายก อบจ.ปราจีนบุรี ได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ว่า

"การที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่กล่าวหาว่าผมบุกรุกอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นั้น ปกติ ผมเป็นคนรักต้นไม้ รักธรรมชาติ รักเขา รักหิน รักน้ำ ชอบชายเขามากกว่าชายทะเล ชายทะเลจะเหนียวตัว แต่เขาอากาศดี ไม่เหนียวตัว ผมชอบ ถ้ามีคนเสนอขายที่ให้ผม เขาก็บอกมีใบจอง มีหลักฐานที่เขาครอบครองอยู่ ผมก็ซื้อ เมื่อผมซื้อแล้ว ผมไม่มีความรู้ด้านนี้ ผมก็ไปปรึกษาป่าไม้ ทางที่ดิน ที่มีความรู้ด้านนี้ ว่าผมจะออกเอกสารได้อย่างไร ก็มีกฎหมายอยู่ฉบับหนึ่งว่า คนที่ทำกินแล้วและมีหลักฐานจริงๆ และไม่เข้าที่ป่าสงวนก็สามารถออกหลักฐานได้ เพื่อให้คนนั้นมีโอกาสมีทรัพย์สินของตนเองและจะทำประโยชน์ได้ ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้ ทำอะไรให้มีคุณค่า เมื่อซื้อแล้วผมจะออกหลักฐาน ก็มีเจ้าหน้าที่เอาระวางมาให้ดู ผมก็ไม่เคยดูว่าเขตนั้นเป็นอย่างไร ป่าไม้ก็เอาระวางมาให้ดู ผมจะซื้อ ผมก็ให้ที่ดินมาดูว่าผมจะออกโฉนดได้วิธีไหน ที่ดินก็แนะนำว่าทำวิธีนั้นวิธีนี้ ผมก็ยื่นไป"

...

นายสุนทร กล่าวอีกว่า "ที่ดินก็เชิญอุทยานมาดู แล้วที่ดินก็ออกหลักฐานให้ผม ไม่เกินที่ดินแนวเขตของป่าไม้ชี้ไว้ ผมก็มีเจตนาแค่นี้ ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ที่ดินและป่าไม้ ก็กลัวผิด กลัวติดคุก เขาคิดว่าเขาไม่ผิดเขาถึงกล้าออกให้ผม และการพัฒนาที่ดินในปี 2563 ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมนั้น ผมก็ออกหลักฐานแล้ว ตอนที่จ้างไปพัฒนาที่ดินก็ย้ำแล้วว่า ที่ดินทุกแปลงจะทำประโยชน์ให้เรียบร้อยสวยงาม จะพัฒนาให้ดี ให้อยู่ในแนวเขต ถ้าต่ำกว่าหน่อยก็ยิ่งดี ผมก็ไม่ทราบว่าลูกน้องที่รับจากผมไป เขาไปทำเกิน ผมก็ต่อว่าลูกน้อง ลูกน้องก็บอกว่า ผมก็นึกไม่ถึงว่าแบ็กโฮเขี่ยๆ แล้วเลยไป 1-2 เมตร เป็นระยะทางยาวก็เลยเป็นพื้นที่มาก ผมก็บอกว่าน่าจะไปควบคุมดู เขาก็เอาหลักไปปักแล้ว แต่แบ็กโฮไถเกิน เราต้องการล้อมลวดหนาม ทำให้ที่เป็นพงหญ้าดูแล้วน่าจะไม่สวยงาม ผมก็ว่าลูกน้องไป ผมไม่มีเจตนา หลักก็อยู่ที่เดิม ผมก็ต่อว่าลูกน้องว่าทำให้ผมเสียชื่อ โดยที่ผมไม่มีเจตนา ที่ธรรมชาติของหลวง ของรัฐบาลผมไม่มีรุกล้ำ มีแต่จะเอาต้นไม้ไปปลูกเพิ่มให้"

นายสุนทร กล่าวในตอนท้ายว่า "เรื่องนี้ผมก็เรียนว่า ขอให้ทางราชการมาตรวจสอบให้แน่นอนว่าแนวเขตเป็นอย่างไร แนวเขตแค่ไหนก็ว่าตามนั้น ผมเองไม่ใช่คนที่เขียนเขต คนที่รับรองก็เป็นป่าไม้ ที่ดินก็ออกหลักฐานไม่เกินเข้าพื้นที่ของป่าไม้ ผมรับรองว่าไม่เคยให้เงินสินบนเจ้าหน้าที่ที่ดินหรือป่าไม้ เพราะเอกสารสามารถตรวจสอบได้ตลอดชีวิต เพราะเป็นโฉนด เอามากางและดูแนวเขตกันได้ ผมเชื่อว่าเขาไม่กล้าทำเพราะผิดกฎหมาย ฉะนั้นก็ขอให้ข่าวนิดหนึ่งว่า สมัยท่านดำรงค์ พิเดช มาสัมภาษณ์ ผมขอชื่นชมว่าท่านเป็นคนดี เป็นคนรักผืนป่า ผมชื่นชมท่านตลอดเวลา แต่ขอเรียนว่า ขอให้ท่านมองลูกน้องข้าราชการชั้นผู้น้อยสักนิดหนึ่ง อย่าไปว่าเขารับสินบน รับ 10 ล้าน 20 ล้าน เขาเสียกำลังใจ ผมเชื่อว่าท่านเป็นคนดี แต่ขอให้ท่านให้กำลังใจเด็ก ชั้นผู้น้อยบางทีเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านว่า ไปรับสินบน ไปรับเงินจากใคร ขอบคุณท่านดำรงค์ ทุกวันก็ยังนับถือท่าน".