ช้ำกว่านี้มีอีกไหม สาววัย 40 ปีจะได้แต่งงาน สุดท้ายถูกเจ้าบ่าวเทหนีไปตอนตีสอง เช้าแขกมางาน พระก็นิมนต์มาแล้ว พิธีต้องดำเนินต่อ พ่อรับหน้าที่แห่ขันหมาก เจ้าสาวเข้าไปนั่งให้พระรดน้ำมนต์คนเดียว ส่วนค่าใช้จ่ายจัดงานประมาณ 3 แสน ล่าสุดเช็กจากทะเบียนราษฎร เจ้าบ่าวที่อ้างเป็นทหารยศ จ.ส.อ. มีคำนำหน้าเป็น "นาย" สถานภาพ "สมรส"
วันที่ 5 พ.ค. กรณี น.ส.น้ำทิพย์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ทำงานโรงงานแห่งหนึ่งในพื้นที่ เขตนิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ถูกเจ้าบ่าวยศทหาร จ.ส.อ. ชิ่งหนี กล่าวเปิดใจว่า เจ้าบ่าวได้พบกับบิดา มารดาของตน บอกว่าจะมาจัดพิธีมงคลสมรสในวันที่ 1 พ.ค. 65 พอถึงวันพิธีแต่งงาน ทางบ้านได้จัดเตรียมพิธีทางศาสนา โต๊ะจีน พร้อมเครื่องดื่มจำนวน 50 โต้ะ สำหรับเลี้ยงแขก โดยเจ้าบ่าวนั้น ได้รู้จักกันมาแล้วประมาณเดือนพฤศจิกายน 64 และคบหาเป็นแฟนกันมาโดยที่ทางญาติๆ รับรู้กันทั้งหมด
"พอถึงเวลางานได้เริ่มพิธีทางศาสนา ก็ยังไม่พบตัวของเจ้าบ่าว ปล่อยให้ทางฝ่ายเจ้าสาวดำเนินการขั้นตอนทางศาสนาไปเพียงคนเดียว เมื่อถึงเวลาแห่ขันหมากทางญาติของเจ้าสาวก็ต้องดำเนินการต่อ โดยพ่อเจ้าสาวเป็นตัวแทนแห่ขันหมากไปที่บ้านเจ้าสาว"
...
ขณะที่แม่และพ่อเจ้าสาว กล่าวเสริมว่า เห็นลูกสาวกับเจ้าบ่าวรักกัน พ่อกับแม่ก็เชื่อเขา ลูกสาวก็รักเขาหลาย (รักมาก) เขาสู่ขอ มาแต่ตัว ไม่มีสินสอดมาเลย ผู้ใหญ่ก็ไม่มา เขามาคนเดียว บอกว่าเขามาขอ พ่อก็เลยบอกว่า ถ้าจะมาขอก็พาพ่อแม่มา เขาบอกว่าแม่ป่วย ผมจะมาขอเอง พ่อก็บอกว่า ค่าสินสอด 2 แสน ทอง 3 บาท เขาบอกว่าสู้ได้ ตกลงแต่ง พ่อกับแม่เห็นลูกรักก็เลยตามใจลูก ต่อมาจึงหาฤกษ์ได้วันที่ 1 เป็นวันแต่ง คืนงานตี 2 ของต่างๆ เขาก็สั่งมาเยอะ บอกเดี๋ยวผมจ่ายเอง พอตี 2 เจ้าสาวไปแต่งหน้าที่ร้านเสริมสวย เจ้าบ่าวก็หนีไปเลยตอนตี 2 ตื่นเช้ามีแขกมางานก็เลยรับแขก มีพระ 9 รูป พระก็สวด รดน้ำมนต์ให้ด้วย แห่ขันหมาก ทำครบตามกระบวนการแต่ไม่มีตัวเจ้าบ่าว เงินสินสอดก็เป็นเงินของแม่ที่เตรียมผูกแขนลูก ตอนนี้ไปแจ้งความแล้ว"
ด้านนายธีรภัทร อายุ 20 ปี (หลานเจ้าสาว) กล่าวว่า "ผมสนิทกับน้าคนนี้มาก (เจ้าสาว) ไปไหนมาไหนด้วยกันขับรถให้ตลอด หลังจากงานแต่งเจ้าบ่าวไม่มา ผมกับนายกอบต.นาดี ไปแจ้งความ ที่ สภ.นาดี ทางตำรวจแจ้งว่ามันไม่เข้าข่ายอะไรเลย ทางผมก็เลยลงบันทึกประจำวันไว้ หลังจากนั้นเจ้าบ่าวติดต่อมา เขาอ้างว่า เขารอเงินจากน้องสาวจะมาเคลียร์ค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด เขาว่าจะมาวันเสาร์อาทิตย์นี้ ผมก็ว่ามันยืดเยื้อเกินไป และเขาก็ยังไม่ออกมาขอโทษอะไรเลย เขาไม่คุยกับญาติพี่น้องเลย เขาจะคุยกับทางเจ้าสาวคนเดียว ผมขอให้เขาส่งบัตรประชาชนมาให้ เขาก็ไม่ส่งมา ตอนที่ผมเข้าไปแจ้งความทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเช็กทะเบียนราษฎรแล้วแต่ไม่ขึ้น เขาอ้างว่าเขาเป็นจ่าสิบเอก เขาอ้างตัวว่าเป็นทหารพราน ผมไม่เคยรู้จัก มารู้จักตอนที่เข้ามาในชีวิตน้า (เจ้าสาว) เขาเป็นคนบุคลิกดี โปรไฟล์ดี เป็นการ์ดของนักการเมืองท้องถิ่น เวลาผมออกงานเจอนักการเมืองคนนี้ก็จะเจอกับการ์ดคนนี้บ่อย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเจ้าบ่าวรับจะจัดการให้ ทางเราก็บอกแค่ว่าจัดงานแต่งงานเล็กๆ เนื่องจากทางครอบครัวติดโควิดและเลื่อนงานมาเป็นวันที่ 1 พ.ค.
สำหรับค่าใช้จ่ายประมาณ 300,000 บาท ค่าใช้จ่ายเขาก็มาเก็บกับเรา เพราะบ้านเราเป็นคนจัด ทุกร้านก็เข้าใจ เพราะเขาก็เห็นๆ กันทั้งนั้น เวลาเราไปจัดซื้อของ เจ้าบ่าวก็ไปด้วยตลอด มีโต๊ะจีน 50 โต๊ะ แสนกว่าบาท และออร์แกไนซ์จัดงานประมาณ 30,000 บาท มีค่าน้ำแข็ง ค่าเหล้า จากร้านส่ง พวกเครื่องไฟ เครื่องเสียง รวมๆ ประมาณ 3 แสนบาท ความรู้สึกของน้า (เจ้าสาว) ตอนนี้ก็คือน้าจะซึม วันแรกเลยที่รู้น้ำตาตกแกไม่ไหว แต่แกก็เข้มแข็ง ดำเนินงานต่อไป เพราะแขกก็มาแล้ว โต๊ะจีนเราก็สั่งมาแล้วก็ดำเนินงานต่อ สู้ต่อไป"
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ฝ่ายเจ้าสาวได้เช็กข้อมูลทะเบียนราษฎร พบว่าแฟนหนุ่มมีคำนำหน้าว่านาย ไม่มีคำนำหน้าว่าจ่าสิบเอกตามที่กล่าวอ้างไว้ จึงเชื่อได้ว่า ชายคนนี้ได้มาหลอกลวง นอกจากนี้สถานะในทะเบียนราษฎรระบุว่า "สมรส" ทั้งที่เคยบอกว่าหย่ากับภรรยาแล้ว เบื้องต้นทางตำรวจจะเรียกมาไกล่เกลี่ยและให้ชี้แจงเรื่องทั้งหมด