ปิดฉากคดีมหากาพย์หวย 30 ล้าน ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น คดีที่ครูปรีชายื่นฟ้องหมวดจรูญข้อหายักยอกทรัพย์ รับของโจร ลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ชุด 5 ใบ งวดวันที่ 1 พ.ย.60 ระบุไม่ใช่ทรัพย์สินของโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ครูปรีชาเคารพคำตัดสินของศาลแต่ยังเตรียมหาช่องยื่นฎีกาต่อ ย้ำคำเดิมความจริงก็คือความจริง ทนายตั้มเผยศาลเน้นเรื่องหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะสัญญาณโทรศัพท์และคลิปเสียงยันชัดครูปรีชาไม่ได้อยู่

ที่ตลาดเรดซิตี้ในวันที่ 31 ต.ค. ชี้คดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องไปแล้วเป็นคดีต้องห้ามฎีกา แต่สามารถขอได้ขึ้นอยู่ที่ว่าศาลจะอนุญาตหรือไม่ หมวดจรูญยิ้มร่าได้คืนความเป็นธรรม เล็งฟ้องกลับกราวรูดแก๊งปั้นเรื่องเท็จโกหกศาลทำให้เกิดความวุ่นวาย

มหากาพย์คดีหวย 30 ล้าน ศึกแย่งชิงสลาก กินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 1 พ.ย.60 หมายเลข 533726 ที่ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือหมวดจรูญ อดีตตำรวจ สภ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี นำสลากฯ 1 ชุด 5 ใบ เป็นเงิน 30 ล้านบาท ไปขึ้นรางวัลที่กองสลากฯ นำเงินหลังหักภาษี 29,850,000 ล้านบาท เข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขากาญจนบุรี เบิกเงินออกไป 5,500,000 บาท ยังคงเหลือในบัญชี 24,350,000 บาท ต่อมาถูกนายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา ครูโรงเรียนเทพมงคลรังษี ยื่นฟ้องแพ่งอายัดเงินในบัญชีและฟ้องอาญาต่อหมวดจรูญในข้อหายักยอกทรัพย์ รับของโจร กลายเป็นคดียืดเยื้อต่อสู้กันยาวนาน กระทั่งวันที่ 4 มิ.ย.62 ศาลพิพากษายกฟ้อง หมวดจรูญถอนเงินออกจากธนาคารพร้อมปิดบัญชี ฝ่ายครูปรีชาพร้อมทนายความสู้คดีต่อด้วยการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 เดิมทีศาลนัดคู่กรณีมาฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรีในวันที่ 21 ม.ค.64 แต่ได้เลื่อนมาเร็วขึ้นเป็นวันที่ 20 ต.ค.63

...

ที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อเวลา 08.40 น. วันที่ 20 ต.ค. ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือหมวดจรูญ จำเลย พร้อมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ทนายความส่วนตัวเดินทางมาถึงศาล มีแฟนคลับจำนวนหนึ่งมาให้กำลังใจ ต่อมานายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา โจทก์เดินทางมาถึงศาลพร้อมทีมทนายความ รวมทั้ง น.ส.รัตนาพร สุภาทิพย์ หรือเจ๊บ้าบิ่น น.ส.พัชริดา พรมตา หรือเจ๊พัช มาให้กำลังใจ ขาดเพียงนางปณัญชยา สุขผล หรือเจ๊เกียว เท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ศาลจึงกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมรับฟังคำพิพากษา อนุญาตให้ทนายความฝ่ายละ 3 คน ผู้ติดตามฝ่ายละ 9 คน (รวมโจทก์และจำเลย) และ ผู้สื่อข่าว 2 คน เข้าร่วมรับฟังเท่านั้น และไม่อนุญาตให้นำเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดเข้ามาภายในห้องพิจารณา

ต่อมาเวลา 10.50 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เนื่องจากศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่ใช่ทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย พิพากษายกฟ้อง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามหลักการกรณีนี้ ฝ่ายครูปรีชาสามารถยื่นฎีกาได้ แต่จะต้องได้รับการรับรองจากศาลชั้นต้น 2 ท่าน ศาลอุทธรณ์ 3 ท่าน โดยหาก 1 ใน 5 ท่าน เซ็นรับรองฎีกาก็สามารถฎีกาได้ แต่ส่วนใหญ่คดีในทำนองนี้ ศาลจะไม่รับพิจารณา

หลังฟังคำพิพากษา คู่ความทั้ง 2 ฝ่ายทยอยเดินออกจากห้องพิจารณาคดี โดยครูปรีชามีสีหน้าเรียบเฉยกล่าวว่า ต้องขอบคุณศาลอุทธรณ์ภาค 7 ตนเคารพในคำตัดสินของศาล แต่มีอยู่บางประเด็นที่จะต้องนำไปปรึกษากับทนายความเพื่อจะต้องใช้สิทธิ์ตามกฎหมายต่อไป เพราะความจริงก็คือความจริง ด้านนายวชิระ ทานท่า ทีมงานทนายความของครูปรีชากล่าวว่า ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เราเคารพในคำตัดสิน แต่ยังไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาในหลายประเด็น ดังนั้น คงจะต้องใช้สิทธิ์ในการยื่นฎีกาต่อไป สำหรับข้อกำหนดการยื่นฎีกา เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษจำคุก 3 ปี อันที่จริงตามกฎหมายห้ามฎีกา แต่มีข้อยกเว้นที่จะทำให้สามารถฎีกาได้อยู่

ต่อมา ร.ต.ท.จรูญพร้อมครอบครัว รวมทั้งนายษิทราและทีมทนายความออกมาจากศาล ทุกคนมี สีหน้ายิ้มแย้ม นายษิทรากล่าวว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 7 เน้นเรื่องของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะคลิปเสียงตั้งแต่วันที่ 27-28 พ.ย.60 จนมาถึงต้นเดือน ต.ค. ท่านเอามาพิพากษาหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณเบสโทรศัพท์ว่า ขณะนั้นครูปรีชาอยู่ที่ไหน และคลิปเสียงในวันที่ 31 ต.ค.60 ที่ครูปรีชาอ้างว่าไปตลาดเรดซิตี้ คลิปเสียงบอกอย่างชัดเจนว่าครูปรีชาออกจากโรงเรียนแล้วเดินทางไปรับลูกที่โรงเรียน การที่ฝ่ายครูปรีชาเขียนอุทธรณ์ไปนั้น มีอุทธรณ์บางข้อที่เขายอมรับข้อเท็จจริงไป ทำให้ศาลอุทธรณ์ไม่จำเป็นต้องไปพิจารณาคำพิพากษาอะไรมาก เช่น เรื่องการใช้ โทรศัพท์ เขาไม่ได้มาต่อสู้คดีว่าการใช้โทรศัพท์นั้นคลาดเคลื่อนอย่างไร แต่กลับยอมรับสารภาพว่าใช้โทรศัพท์คุยกับคนโน้นคนนี้จริง แต่อ้างว่าคุยที่ตลาดเรดซิตี้ก่อน ศาลมองว่ามันขัดกับพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และขัดกับหลักฐานที่กองปราบฯได้จำลองเหตุการณ์ในช่วงระยะเวลาที่ไม่สามารถเดินทางมาที่ตลาดเรดซิตี้ได้ทันในระยะเวลาไม่กี่นาที ศาลจึงเห็นว่าคำอุทธรณ์ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะต้องนำมาวินิจฉัยด้วยซ้ำ จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

นายษิทรากล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่ออกมาจากศาลช้า เนื่องจากได้ไปตรวจสำนวนที่เราได้ฟ้องครูปรีชา เจ๊พัช และเจ๊บ้าบิ่น เรื่องเบิกความเท็จ ตอนที่ขออายัดเงินลุงจรูญไว้ ในสำนวนบอกไว้ว่าถ้าคดีถึงที่สุดก็จะหยิบยกคดีขึ้นมาใหม่ และอีกสำนวนเรื่องการฟ้องเท็จ คือคดีที่ศาลยกฟ้องวันนี้ ได้ฟ้องครูปรีชาและทนายความของครูปรีชาไว้ คดีนี้เพิ่งขึ้นศาลเมื่อวันที่ 5 ต.ค. ฝ่ายครูปรีชาขอเลื่อนคดีออกไปอ้างว่าขอรอฟังคำพิพากษาคดีหลัก และในวันนี้ศาลมีคำพิพากษาคดีหลักออกมาแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า ครูปรีชาหาช่องทางการยื่นฎีกาสามารถทำได้หรือไม่ นายษิทราตอบว่า คดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้วเป็นคดีต้องห้ามฎีกา แต่ถ้าใครจะฎีกาก็สามารถขออนุญาตศาลท่านได้ ขึ้นอยู่ที่ว่าศาลท่านจะอนุญาตหรือไม่ ตนคิดว่า คดีนี้คงจะจบแล้ว จากนี้ไปขึ้นอยู่กับลุงจรูญว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ที่ผ่านมาได้ฟ้องไปแล้ว 2 สำนวนคือเรื่องฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับลุงจรูญแล้วว่าจะตัดสินใจฟ้องพยานคนไหนบ้าง

...

ด้าน ร.ต.ท.จรูญเผยว่า หลังจากนี้คงจะต้องฟ้องกลับ เพราะวันนี้ศาลได้คืนความเป็นธรรมให้ตนแล้ว ต่อไปนี้จะกลับมาเป็นเรื่องของตนบ้างที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมตามที่ศาลท่านให้มา จะเอาคืนจากคนที่ปั้นเรื่องปั้นราวขึ้นมาเหมือนโกหกศาลเพื่อจะให้ศาลลงโทษตนให้ได้ เล็งฟ้องกลับทุกคนทั้งหมดที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย ด้านนายษิทรากล่าวเสริมว่า พยานบางคนไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 31 ต.ค.60 เพราะในคำพิพากษาก็บอกอยู่แล้วว่าในวันดังกล่าวครูปรีชาไม่ได้ไปที่ตลาดเรดซิตี้ แต่พยานมาเบิกความว่าเจอครูปรีชามาคุยเรื่องเลขจนเป็นเรื่องเป็นราว ถ้าหากศาลเชื่อในพยานที่มาเบิกความเหล่านี้ ลุงจรูญจะเกิดความเสียหายและอาจถูกจำคุกได้ จึงถือว่าโชคดีที่ตำรวจกองปราบฯ และ ปอท.ลงมาช่วยกันคลี่คลายคดีจนทำให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษายกฟ้อง สำหรับบุคคลที่จะถูกฟ้องกลับ เช่น ครูปรีชา เจ๊เกียว เจ๊พัช รวมทั้งเจ๊บ้าบิ่น และนายแผน ส่วนจะฟ้องแพ่งด้วยหรือไม่จะกลับไปปรึกษากันก่อนว่าจะเอาคดีแพ่งผสมกับคดีอาญาไปด้วยหรือไม่อย่างไร