นัดแถลง-แจ้งความ ระบุโทษจําคุก 4-20 ปี ป.ป.ช.ก็ลงพื้นที่ด้วย เจ้าตัวสวนกลับทันที แจ้งเอาผิดเจ้าหน้าที่

ป.ป.ช.เดินเครื่องลงพื้นที่สอบเอกสาร “ปารีณา” ถือครองที่ดิน 1,700 ไร่ “เอ๋” เล่นแง่แจ้งความจับทีม จนท.บุกรุกฟาร์มไก่ อ้างไม่มีหมายศาลเข้าตรวจ “วีระ” เกาะติดลุยชี้เป้าใหม่ที่ดินใน ต.ท่าเคย ของ “ทวี ไกรคุปต์” เตือนระวังเจอข้อหาแจ้งความเท็จ “ธรรมนัส” ปัดอุ้ม ลั่นถ้าพิสูจน์ชัดเป็นที่ ส.ป.ก.ต้องคืนหมด งัด ม.44 ยึดได้ทันที ไม่ฟ้องร้องให้คดีรกศาล สั่งรังวัด ส.ป.ก.ที่เหลือ 2 ล้านไร่ให้เกษตรกรภายใน 180 วัน ทำไม่ทันย้ายลูกเดียว ขณะที่กรมป่าไม้จ่อแจ้ง บก.ปทส.ฟัน “ปารีณา” ข้อหาบุกรุกป่า 2 ธ.ค.นี้ ยัน จนท.ปฏิบัติตามหน้าที่ไม่ได้บุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคล

หลังจากคณะทำงานของกรมป่าไม้และสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ลงพื้นที่ตรวจสอบ ที่ดินหมู่ 6 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี ที่แจ้งสิทธิ์ ภทบ.5 ครอบครองจำนวน 1,700 ไร่ ไว้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นรอบที่สอง ยืนยันมีการบุกรุกที่ดินหลวงชัดเจนนั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 พ.ย. ที่ห้องประชุม อบต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เจ้าหน้าที่สำนักตรวจสอบทรัพย์สิน ป.ป.ช.ขอตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับการเสียภาษีและการถือครองที่ดินในพื้นที่หมู่ 6 ต.รางบัว ของ น.ส.ปารีณา ร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่ อบต.รางบัว ที่เกี่ยวข้อง ก่อนลงพื้นที่ตรวจสอบฟาร์มไก่ “เขาสนฟาร์ม” ของ น.ส.ปารีณา โดยมีคนงานของฟาร์มพาเข้าตรวจสอบพื้นที่ แต่ไม่ยอมให้สื่อมวลชนติดตามเข้าไป

ขณะเดียวกัน นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ได้ไปติดตามความคืบหน้าคดีรุกป่าของ น.ส.ปารีณา ที่ สภ.จอมบึง จากนั้นไปที่ อบต.รางบัว อ.จอมบึง เพื่อจะพบเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ชุดดังกล่าวแต่คลาดกัน นายวีระจึงไปสังเกตการณ์ที่ศาลาอเนกประสงค์

...

ขณะเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.ตั้งโต๊ะบริการชาวบ้านให้มายื่นหลักฐานยืนยันแสดงสิทธิ์ในที่ดินพื้นที่ ต.รางบัว อ.จอมบึง และ ต.ท่าเคย อ.สวนผึ้ง นายวีระกล่าวว่า ทราบข่าวว่าเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.มาตรวจสอบการแจ้งเอกสารเกี่ยวกับใบภบท.5 ของ น.ส.ปารีณา จำนวน 57 แปลง ที่ได้แจ้ง ป.ป.ช.ไว้ อีกทั้งทราบว่า น.ส.ปารีณา ส่งตัวแทนไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุก ที่ สภ.จอมบึง แต่การแจ้งความจะต้องมีเอกสารการครอบครองที่ดิน เจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบก่อน แต่ถ้าไม่มี น.ส.ปารีณาจะเจอข้อหาแจ้งความเท็จ และหากนำใบ ภบท.5 มาเป็นหลักฐานแจ้งความไม่สามารถทำได้เนื่องจากไม่ใช่เอกสารของทางราชการออกให้

ส่วนกรณีที่ดินหมู่ 9 ต.ท่าเคย อ.สวนผึ้ง ที่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจะรู้เลยว่าเกี่ยวกับที่ น.ส.ปารีณาไปแจ้งกับ ป.ป.ช.หรือเป็นส่วนของนายทวี ไกรคุปต์ บิดา ครอบครองซึ่งไม่ได้แตกต่างกันเพราะเป็นพื้นที่บุกรุกที่ป่าสงวนไม่ว่าจะครอบครองมากี่ปีก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์

นายปกรณ์เกียรติ บัณฑิตชวลิต ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ต.ท่าเคย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี กล่าวว่า ได้พาลูกบ้านกว่า 10 ราย มาขอยื่นออกรังวัดเอกสารสิทธิส.ป.ก.ที่ผ่านมามีบางส่วนรังวัดไปแล้ว แต่บางจุดยังไม่รู้ว่าอยู่ในที่ ส.ป.ก.พอมีข่าวประกอบกับ ส.ป.ก.เอาป้ายมาปักโชว์แผนที่จึงเกิดความสงสัย จึงพาลูกบ้านมาเพื่อสอบสิทธิ์ออกเอกสารสิทธิทำกิน สำหรับพื้นที่ ต.ท่าเคย มีแต่ นส.3 กับพื้นที่ป่า คือภบท.5 ชาวบ้านถือครองกันไม่มาก และมีที่ดินของนายทวี ไกรคุปต์ ครอบครองประมาณ 600 ไร่แต่ยังไม่มีการออกรังวัดรวมอยู่ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อช่วง 21.00 น.วันที่ 28 พ.ย. น.ส.ปารีณาส่งตัวแทนไปแจ้งความกับ พ.ต.ต.อรรณพ ศรีสวาท สว. (สอบสวน) สภ.จอมบึง จ.ราชบุรี ให้ดำเนินคดีกับผู้ที่บุกรุกเข้าไปในฟาร์มไก่ “เขาสนฟาร์ม” ในวันเดียวกัน โดยไม่มีหมายศาล

ต่อมาเวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนไม่ได้บุกรุกที่ดิน ให้ศาลดูแล้วกันว่าที่สุดตนไม่ได้บุกรุก ตอนนี้รอกระบวนการตรวจสอบ ล่าสุดตนได้เข้าแจ้งความที่ สภ.จอมบึง ตำรวจต้องไปดูว่าเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้มีหมายศาลหรือไม่ คราวที่แล้วมีหมายศาล แต่ยังไม่สามารถเข้ามาเหยียบย่ำในที่ ส.ป.ก.ได้เลย คิดว่าเขาพยายามจะทำให้ที่ตรงนั้นบุกรุก ตนคิดว่าเรื่องนี้ไปคุยกันที่โรงพักดีกว่า เดี๋ยวไปว่ากันที่ศาล เพราะแจ้งความไปแล้วในเบื้องต้นแล้วมีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ และภาพถ่ายที่เขาเข้ามาเดินกันในฟาร์มตอนช่วงเย็น โดยที่ไม่ได้ติดต่อตนก่อนว่าจะเข้ามาทำรังวัดที่ดิน ความจริงต้องมีหมายศาลเหมือนกับครั้งแรกที่มา

ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมเรื่องการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมเพื่อขับเคลื่อนและขยายผลการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืนว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะจัดสรรที่ดินทำกินให้ โดยกรมพัฒนาที่ดินเข้าไปอำนวยความสะดวกให้จัดสรรที่ดินได้อย่างถูกต้อง และจัดการพัฒนาให้เป็นดินที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับทำการเกษตร ส่วนที่ ส.ป.ก.ร่วมกับกรมป่าไม้ลงตรวจพื้นที่ของ น.ส.ปารีณา เมื่อวันที่ 29 พ.ย.กำลังรอให้ ส.ป.ก.รายงาน

“คนมองว่าผมไปช่วย “เอ๋ ปารีณา” แต่ไม่ใช่ ยึดตามหลักกฎหมาย ในส่วน ส.ป.ก.เวลาไปฟ้องคดีอาญา กฎหมายอาญาระบุว่า อะไรที่ไม่เข้ากับเจตนาโดนยกฟ้องทุกครั้ง ทำให้ทุกคดีที่ ส.ป.ก.ฟ้องอาญาแพ้หมดทุกคดีไม่เคยมีคดีไหนชนะ จึงไม่พยายามเอาคดีความไปรกศาล หน้าที่ของ ส.ป.ก.คือจัดสรรที่ดินให้เกษตรกร ใครที่ครอบครองมาก่อนไม่ว่าถูกหรือไม่ถูกก็ตาม ต้องเอาที่ดินคืนมาก่อน เสร็จแล้วจัดสรร เช่นเดียวกับที่ดินของ น.ส.ปารีณาต้องเอาคืนมาทั้งหมด ไม่ว่ากี่ไร่ก็ตามที่พิสูจน์ออกมาแล้วเป็นที่ดิน ส.ป.ก. ส่วนพื้นที่ป่าไม้ให้กรมป่าไม้จัดการไป” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว

...

ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า ยุคนี้ไม่ต้องการให้คดีรกศาลแต่จะเน้นวิธีการเอาที่ดินคืนมา ถ้าใครดื้อก็มีมาตรา 44 ยังสามารถบังคับใช้เอาที่ดินคืนมาได้อยู่ บางคนบอกไม่มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แล้วทำไมยังใช้ได้อยู่ ขอย้ำว่ายังใช้ได้อยู่ รวมถึงที่ดินที่แม้จะจำนวนไม่มากถ้าได้มาโดยไม่ชอบต้องคืนหลวงอย่างเดียว ไม่มีข้อหลีกเลี่ยง และที่มอบหมายให้ ส.ป.ก.ไปสแกนที่ดินทั่วประเทศนั้นเริ่มรายงานเข้ามาแล้ว ใครผิดต้องว่าตามผิด ที่ น.ส.ปารีณา ขอให้วัดแนวเขตใหม่เราก็ทำถ้าไม่ทำจะโดนฟ้อง ส่วนการดำเนินคดีแพ่งไม่มี เพราะกฎหมาย ส.ป.ก.มีแต่การฟ้องขับไล่เพื่อยึดที่คืนไม่ได้ฟ้องแพ่ง

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะดำเนินการกับที่ ส.ป.ก.ที่ยังไม่รังวัดและจัดสรรอีก 2 ล้านไร่อย่างไร ร.อ.ธรรมนัสตอบว่า ส่วนใหญ่เป็นที่ของนักการเมืองและผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ได้สั่ง ส.ป.ก.ไปแล้วภายใน 180 วัน ต้องนำมาจัดสรรให้ชาวบ้านไม่เช่นนั้นจะย้ายให้หมด ทำก็ต้องล้างบาง แต่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด (คปจ.) มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน จะว่าเจ้าหน้าที่เราอย่างเดียวไม่ได้ บางจังหวัดก็เฉื่อยอย่าง จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.สระแก้ว ศาลากลางจังหวัดยังเป็นที่ป่าไม้อยู่เลย

ด้านกรมป่าไม้ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยหลังการประชุมคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ดินของ น.ส.ปารีณา ที่มีนายธวัชชัย ลัดกรูด ผู้ตรวจราชการกรมป่าไม้ เป็นประธานว่า กรมป่าไม้ได้ข้อยุติจากการตรวจสอบพื้นที่และรังวัดที่ดินแล้วพบว่า น.ส.ปารีณาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชีกว่า 40 ไร่ ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 ทั้ง 2 พื้นที่รวมกันประมาณ 46 ไร่เศษ และจากการตรวจสอบไม่พบเอกสารที่ทางราชการออกให้เพื่อให้เข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ตาม ระเบียบและกฎหมาย ถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 มาตรา 14 ระบุในเขตป่าสงวนแห่งชาติห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครอง ทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถางเผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่า และมีความผิดตามมาตรา 54 พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 ห้ามมิให้ผู้ใดแผ้วถางหรือเผาป่าหรือกระทำการใดๆอันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยในวันจันทร์ที่ 2 ธ.ค. เวลา 09.00 น. ตนและคณะทำงานจะแถลงข่าวกรณีการถือครองที่ดินของ น.ส.ปารีณา จากนั้นจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าแจ้งความดำเนินคดี ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.)

...

อธิบดีกรมป่าไม้กล่าวอีกว่า กรณี น.ส.ปารีณา ให้คนไปแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้นั้น ไม่มีปัญหา เป็นสิทธิของ น.ส.ปารีณา แต่เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแนวแผนที่และปักหมุดในเขตป่าสงวน ที่เป็นป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ไม่ได้เข้าพื้นที่ฟาร์มไก่หรือพื้นที่ส่วนบุคคล เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่ และก่อนหน้าที่จะเข้าพื้นที่ได้กำชับให้ระมัดระวังในการเข้าพื้นที่ส่วนบุคคลไว้แล้ว

สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 ฉบับแก้ไขปี 2559 มาตรา 14 ในเขตป่าสงวนฯ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมสภาพแก่ป่าสงวนแห่งชาติ หากบุกรุกไม่เกิน 25 ไร่ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี แต่หากเป็นการบุกรุกเกิน 25 ไร่ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี ส่วน พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 มาตรา 54 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี