เกิดเรื่องไม่น่าเชื่อขึ้นในโรงพยาบาลนครปฐม ให้ผู้ป่วยหนักกลับบ้านผิดคน กระทั่งเกิดผลพวงทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาต่อมา ด้านรอง ผอ.โรงพยาบาล ยังยอมรับทำงานมากว่า 30 ปี เพิ่งเคยเห็น...

เมื่อวันที่ 2 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดกรณีความผิดพลาดรุนแรง และไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นในระบบสาธารณสุขไทย นั่นคือ กรณีการสลับตัวคนไข้ของโรงพยาบาล โดยเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา น.ส.จิดารัตน์ ห่วงสุวรรณ อายุ 27 ปี เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.ชัยวัฒน์ สุทธิศิริมงคล รอง สว.(สอบสวน)
สภ.เมืองนครปฐม ระบุ โรงพยาบาลนครปฐมสลับตัวคนไข้ไปส่งบ้านอื่น

น.ส.จิดารัตน์ ให้การว่า ได้นำตัว นางลออ สุระนันท์ อายุ 83 ปี ซึ่งเป็นยาย เข้ารักษาตัวโรงพยาบาลนครปฐม เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2561 เวลา 20.09 น. แพทย์ได้ตรวจพบว่าผู้ป่วยมีอาการไข้ เหนื่อยซึม อ่อนเพลียมาก ไตวาย เกลือแร่ผิดปกติ ให้การรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อแก้ไขภาวะผิดปกติ มีแนวโน้มอาการหนัก อาจต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และให้พักรักษาตัวโรงพยาบาล ให้ยาฆ่าเชื้ออย่างต่อเนื่อง และให้อาหารทางสายยาง กระทั่งเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2561 โรงพยาบาลโทรศัพท์มาหา 3 ครั้ง ครั้งแรกถามว่า ได้ไปเซ็นชื่อรับคนไข้ออกจากโรงพยาบาลหรือไม่ ตอบไปว่า ไม่ได้เซ็น จากนั้นเจ้าหน้าที่โทรมาอีกครั้งที่สอง ถามถึงรูปลักษณะของยายมีลักษณะเป็นอย่างไร มีอะไรเป็นจุดเด่นหรือไม่ เช่น แผลเป็น ตนบอกว่าไม่มี แต่จำได้ว่า ใส่กำไลสีเขียวที่ข้อมือ เจ้าหน้าที่บอกว่า น่าจะมีข้อผิดพลาดนิดหน่อยในการรับตัว จากนั้นวางสายไป แล้วโทรกลับมาอีกเป็นครั้งที่สาม พูดว่า ยายปลอดภัยดีแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง จึงเอะใจต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น จึงรีบไปโรงพยาบาล ปรากฏมีคนไข้ใหม่เข้ามาอยู่บนเตียงซึ่งไม่ใช่ยาย สอบถามพยาบาลว่ายายหายไปไหน นึกว่าย้ายเตียง แต่พยาบาลเรียกเข้าไปในห้อง แล้วได้พูดกับตนว่า ใจเย็นๆ เดี๋ยวค่อยๆ คุยกัน

...

น.ส.จิดารัตน์ ให้การต่อว่า สอบถามจากพยาบาล ทราบว่า มีชายหญิง 3 คน มารับยายกลับบ้านไปแล้ว โดยแจ้งความประสงค์ให้รถพยาบาลไปส่งที่บ้านอยู่ที่ห้วยกระบอก อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เป็นเขตติดต่อ อ.กําแพงแสน จ.นครปฐม แต่พยายามสอบถามว่า บ้านอยู่ที่ไหน เพราะเป็นห่วง จะไปรับกลับมาเองก็ได้ เพราะเป็นห่วงมาก กระทั่งเวลา 12.00 น. รถพยาบาลนำตัวยายกลับมาโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง กลับมาพักรักษาตัวตามเดิม กระทั่งช่วงเย็นอาการยายหนักขึ้นถึงขั้นต้องเอาตัวส่งเข้าห้องไอซียู พวกตนเข้าเยี่ยมไม่ได้จึงกลับไปบ้าน

ต่อมา เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2561 เวลา 17.00 น. พยาบาลโทรมาหาว่า คุณยายเสียชีวิตแล้ว ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ทำให้ตนงงมากว่าเกิดอะไรขึ้น พยาบาลไม่ยอมพูด ถามว่าเอายายออกไปไหนไม่บอก หากถ้าท่านยังอยู่ในโรงพยาบาลอาจจะยื้อชีวิตไปได้อีกนานก็ได้ จึงร้องเรียนให้ตรวจสอบ จึงทราบว่ามีการสลับตัวยายกับคนไข้รุ่นเดียวกัน อาการคล้ายกัน โดยญาติมาขอรับจากโรงพยาบาลเพื่อไปรักษาที่บ้าน

ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยัง น.พ.วีรศักดิ์ ครองลาภเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง โดย นพ.วีรศักดิ์ มอบหมายให้ นพ.ปฐม วงษ์อุบล รองผู้อำนวยการบริการปฐมภูมิ และ พญ.นุชนารถ โตเหมือน แพทย์ประจำตึกอายุรกรรมหญิง 1 ซึ่งเป็นแพทย์เวรประจำตึกที่อยู่ในระหว่างเกิดเหตุ ชี้แจงข้อเท็จจริง

ทั้งนี้ นพ.ปฐม ได้พูดถึงเหตุการณ์ณ์ที่เกิดขึ้นตาม น.ส.จิดารัตน์ ระบุ พร้อมยอมรับว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจริง โดยในวันเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2561 เวลา 07.00 น. ได้มีญาติผู้ป่วยอีกรายหนึ่ง 3 คน มาเยี่ยมคนไข้เป็นหญิงสูงอายุรุ่นเดียวกันกับนางลออ และยังหน้าตาละม้ายคล้ายกันกับหญิงสูงอายุ มีอาการป่วยคล้ายกัน โดยมาเยี่ยมดูอาการนางละออ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นแม่ของทั้ง 3 คน พยาบาลจึงเข้าไปสอบถาม ทั้ง 3 ว่าเป็นอะไรกับคนไข้ ได้รับคำตอบว่าเป็นลูกสาวและลูกชาย โดยทั้ง 3 คน
แจ้งความประสงค์ต่อพยาบาลว่า เห็นอาการของคนไข้แล้วไม่สบายใจ อยากนำตัวไปรักษาดูแลเองที่บ้าน และอยากเห็นท่านเสียชีวิตอยู่ที่บ้าน โดยให้เซ็นเอกสารไม่ทำการรักษาต่อขอนำกลับบ้าน โดยทางโรงพยาบาลนำรถพยาบาลไปส่งพื้นที่ติดต่อ อ.บ้านโป่ง กระทั่งทราบว่า ส่งตัวคนไข้ผิด จึงตรวจสอบแล้วให้รถไปรับนางลออกลับมาโรงพยาบาล บรรดาญาติที่รับตัวไปยังยืนยันว่าเป็นคนไข้ของเขา
ต้องเอาเอกสารไปแสดงให้ดู และพาไปดูคนไข้ที่พามารักษา จึงยอมให้นางลออกลับมา

นพ.ปฐม กล่าวต่อว่า ยอมรับเป็นความประมาทเลินเล่อของพยาบาลที่บกพร่อง ไม่ตรวจสอบเอกสารให้เรียบร้อยก่อนมอบคนไข้ให้ไป ต่อมา นางลออ เสียชีวิต ทางโรงพยาบาลก็ยังแสดงความรับผิดชอบในเบื้องต้น เช่น นำโลงใส่ให้พร้อมพวงหรีด และส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมบำเพ็ญกุศล ส่วนญาติยังติดใจอยู่จะมีการเยียวยา โดยบอกญาติไว้ว่า เสร็จสิ้นงานศพเรียบร้อยแล้วจะนัดพูดคุยเจรจา

อย่างไรก็ตาม ในส่วนโรงพยาบาล วันที่ 2 พ.ค.นี้ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะเรียกประชุมทั้งแพทย์และพยาบาลที่ดูแลตึกคนไข้นี้ เพื่อวางมาตรการให้รัดกุมในเรื่องการรับคนไข้เข้าออก ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอุทาหรณ์ ตนเองทำงานแพทย์อยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2525 จนปัจจุบัน เพิ่งจะพบเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแรก ส่วนกรณีทำโทษนั้นอยู่ที่คณะกรรมการสอบสวนวางมาตรการ.