"บิ๊กอ๊อบ" เผย "เหล่าทัพ" ขานรับนโยบาย "รมว.กห." จัดซื้ออาวุธแบบแพ็กเกจ ย้ำยึดตามยุทธศาสตร์เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และต้องแยกระหว่างนโยบายกับผู้ปฏิบัติ พร้อมผลักดันระบบ AI มาใช้ในกองทัพ
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 67 ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) กล่าวภายหลังการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ (ผบ.เหล่าทัพ) ว่า มีการหารือกันเรื่องเทคโนโลยีทันสมัยที่จะนำมาใช้ในการพัฒนากองทัพทั้งหมด รวมถึงระบบ AI และไซเบอร์
ส่วนที่ฝ่ายค้านได้อภิปรายในระหว่างประชุมงบประมาณปี 2568 วิจารณ์กองทัพมีการจัดหาเทคโนโลยีที่ล้าสมัยนั้น พล.อ.ทรงวิทย์ กล่าวว่า เราก็ต้องรับฟังและต้องจัดทำข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนากองทัพ ซึ่งเป็นหน้าที่ของทหารอยู่แล้ว จากการรับฟังในที่ประชุมจาก ผบ.เหล่าทัพ เกี่ยวกับด้านการพัฒนาเทคโนโลยีแล้วรู้สึกสบายใจว่า มีการพัฒนาและมีแผนที่ชัดเจน ซึ่งระบบ AI ไม่ได้จบแค่ AI แต่สามารถนำไปใช้ในหลายภารกิจ เช่น การส่งกำลังบำรุง การตัดสินใจในปฏิบัติการต่างๆ และสามารถคาดการณ์ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และยังสามารถใช้ในการประมวลผล การโจมตีเป้าหมายต่างๆ ได้ หลายชาติก็มีความเห็นว่าจะต้องมีเรื่องของจรรยาบรรณ AI ด้วย โดยกำหนดว่ากระบวนการตัดสินใจ หรือการบังคับบัญชาจำเป็นต้องมีมนุษย์อยู่ในกระบวนการ
ส่วนความคืบหน้าในเรื่องงบประมาณหลังจากสภาได้ผ่านวาระแรกไปแล้ว พล.อ.ทรงวิทย์ กล่าวว่า ในวันนี้ที่ประชุม ผบ.เหล่าทัพ ไม่ได้พูดถึงในเรื่องงบประมาณ แต่พูดถึงเรื่องการพัฒนากองทัพเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติเป็นหลัก และยังได้ข้อคิดจาก นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม มาก่อนหน้านี้ ที่จะต้องมีหน่วยงานมาดูแลเรื่องห้วงอวกาศ ซึ่งกองทัพอากาศมีความพร้อมที่สุดในการดูแลมิติทางอวกาศ หลังจากนี้จะต้องมีการมาพูดคุยกันเพิ่มเติมให้ควบคุมการปฏิบัติทางกายภาพทั้งสามมิติ คือ บก เรือ อากาศ รวมถึงเรื่องอวกาศ ซึ่งกองทัพอากาศมีความเชี่ยวชาญที่สุด เพราะใช้ทั้งเรื่องการสื่อสารและเรื่องการวิเคราะห์ รวมถึงมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย
...
"แต่ก็ยอมรับว่าทุกหน่วยก็มีการเตรียมการเรื่องของงบประมาณ ทั้งสิ่งที่กองทัพเสนอ และสิ่งที่มีการทวงถาม ซึ่งต้องทำข้อมูลทั้งสองฝ่ายให้พร้อม เพื่อจะนำไปตอบในวาระที่ 2 ในชั้นกรรมาธิการ" พล.อ.ทรงวิทย์ กล่าว
ผบ.ทสส. กล่าวว่า ส่วนการจัดหาอาวุธที่อาจนำหลักการจัดสรรโควตาของแต่ละเหล่าทัพตามความเหมาะสมเป็นเรื่องที่จะต้องหารือกันต่อไป ซึ่งกระทรวงกลาโหมจะเป็นผู้ดูแล แต่ก็มีการพูดคุยกันในกลุ่มเล็กๆ เบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดซื้ออาวุธ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ เพื่อให้การจัดซื้ออาวุธของแต่ละเหล่าทัพสอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งยังไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพไทยโดยตรง แต่ผู้กำหนดนโยบายคือกระทรวงกลาโหม ต้องแยกระหว่างนโยบายกับผู้ปฏิบัติ ส่วนเรามีหน้าที่ให้ข้อคิดเห็นกับทางกระทรวงกลาโหม และช่วยในการตัดสินใจ
พล.อ.ทรงวิทย์ กล่าวถึงแนวคิดที่จะจัดซื้ออาวุธแบบแพ็กเกจว่า เป็นสิ่งที่ รมว.กลาโหม ได้พูดไว้ แม้ว่าไม่มีในส่วนร่วมในการคิด แต่กองทัพก็ต้องเตรียมรับนโยบายไปปฏิบัติไว้ เพราะว่ามาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ศึกษาถึงความแตกต่างในการจัดซื้ออาวุธแบบแพ็กเกจ และการจัดสรรโควตาให้แต่ละเหล่าทัพ