ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ “วันวาเลนไทน์” เป็นวันสำคัญของทางศาสนาคริสต์ และ “วันมาฆบูชา” เป็นวันสำคัญของทางศาสนาพุทธ ผู้ที่เคารพนับถือในศาสนาดังกล่าวก็คงจะได้มีโอกาสกระทำแต่ในสิ่งที่ “ดี” ให้เกิดขึ้นกับ “ชีวิต”
พระครูจินดาสุตานุวัตร (พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก) ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า ความรักที่เกิดขึ้นตามหลักธรรมคำสอนของศาสนานั้นมันมีคุณค่าอย่างยิ่ง ถ้าศาสนิกชนได้ยึดถือนำไปประพฤติปฏิบัติกันจนเกิดประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต
แทนที่จะกลายเป็นความรักที่มืดบอด เพราะไม่รู้จักนำเอาหลักธรรมคำสอนของศาสนาที่ตนเองนับถือไปปฏิบัติ จนกลายเป็นผู้นับถือศาสนาที่กลายเป็น “โทษ” อันเนื่องมาจากการขาด “สติและปัญญา”
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนวัยรุ่นในขณะนี้ มีแนวโน้มจะหนักขึ้นกว่าเดิมจนกลายเป็น “ข่าวร้าย” รายวันที่ได้สร้างความเดือดร้อน ความไม่สงบให้กับสังคม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความรุนแรงในเด็กและเยาวชน ปัญหาพฤติกรรมเลียนแบบในทางที่ผิด ปัญหามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับด้านเพศ
...
ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด ยาบ้า สารเสพติดชนิดต่างๆ ทั้งที่ถูกต้องตามกฎหมายและผิดกฎหมาย ปัญหาเด็กและเยาวชนได้มีผลกระทบเกิดความไม่สงบสุขภายในครอบครัว พวกเขาขาดการดูแลเอาใจใส่จากผู้ปกครอง ขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว...จนต้องออกจากบ้านหรือครอบครัว
“....ไปแสวงหาความสุขนอกบ้าน ถ้าคบเพื่อนดีก็ย่อมมีโอกาสดำเนินชีวิตไปได้ดี แต่ถ้าไปคบเพื่อนที่ไม่ดีหรือเพื่อนชักจูงไปในทางที่ไม่ดี ไม่ว่าจะประพฤติผิดศีลธรรม ผิดกฎกติกาของสังคม ผิดกฎหมายบ้านเมือง สุดท้าย...ชีวิตก็มีแต่ปัญหา”
ปัญหาเด็กและเยาวชนที่ขาดการอบรมบ่มนิสัยอย่างสม่ำเสมอ ผู้ใหญ่มุ่งเน้นแต่จะสร้างเด็กให้เก่ง ให้ฉลาด ถ้าเรียนหนังสือก็หวังให้เด็กและเยาวชนเก่งที่สุดในห้องเรียน ในชั้นเรียน ในโรงเรียน
แน่นอนว่า...การมุ่งเน้นให้เด็กเก่งนั้นมิใช่เรื่องเสียหายแต่ประการใด
แต่ถ้าเด็กเก่งด้วย ฉลาดด้วย แต่...การประพฤติปฏิบัติในการเรียนหนังสือร่วมห้องเรียนเดียวกัน ชั้นเรียนเดียวกันและโรงเรียนเดียวกันกลับกลายเป็น “โทษ” เพราะพวกเขาขาดการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ขาดการให้อภัย...เมื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนหรือโรงเรียนเดียวกันผิดพลาด จนกลายเป็น “ปัญหา” ขึ้นมาได้
ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นเช่นนี้จะต้องป้องกัน...แก้ไขกันที่ต้นเหตุคือเด็กจะต้องเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายหรือเรียกว่าสุขภาพอนามัย เด็กจะต้องได้เพิ่มพูนทางสติปัญญาในการเรียนรู้ตามระดับชั้นการศึกษา เด็กจะต้องได้รับการฝึกอบรมบ่มนิสัยพัฒนาจิตใจให้เป็นคนดีกลายเป็นเยาวชนที่ดี
ปัญหาที่เกิดกับเด็กและเยาวชนจึงจะลดน้อยถอยลงไป สรุปคือจะต้องดูแลพวกเขาให้เจริญเติบโตทั้ง “กาย” และ “ใจ” นั่นเอง
“ความรัก” ของเด็กย่อมเป็นความรักที่สดใสอย่างไร้เดียงสาปราศจากเลศนัยใดๆทั้งสิ้น เป็นความรักที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ผู้ใดพบเห็นการแสดงออกของพวกเขาแล้วล้วนแต่จะชื่นชม เห็นความไร้เดียงสาของเด็ก
แต่ถ้าความรักของเยาวชนคนหนุ่มสาวนั้น เป็นความรักที่ต้องการเห็นคนอื่นมาเป็น “เพื่อนหรือผู้จะให้กำลังใจ” รวมถึงเป็นความรักที่เริ่มผสมผสานด้วยกิเลสและตัณหา มีเรื่องความรักด้านความต้องการทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มิใช่เป็นความรักเพียงไร้เดียงสาเหมือนเด็กๆตัวน้อยๆ
“ความรักที่ต้องการมีเพื่อนนี้ก็เป็นหัวใจอันสำคัญที่จะโน้มน้าวให้เยาวชนมีทัศนคติและมีทิศทางของการเลือกชีวิตให้เป็นไปในด้านใด รักที่เป็นประโยชน์แล้วโลกนี้ก็จะสวยงามและสดชื่น”
ตรงกันข้ามถ้าหากว่าเป็นความรักที่ “มืดบอด” แล้วก็จะเป็นอันตรายก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความเสียหายขึ้นมาอย่างมหาศาล ยกตัวอย่างเช่น รักไม่สมหวัง รักถูกพลัดพราก รักถูกกีดกัน รักถูกเข้าใจผิด รักถูกบิดเบือน เป็นต้น
ถ้าหากว่า “ความรัก” นั้น ลงเอยด้วยการ “ให้โทษ” ทั้งคนที่อยู่ใกล้และสิ่งที่อยู่รอบข้างแล้วก็จะกลายเป็นโทษอย่างมหันต์เช่นเดียวกัน ทางที่ดีควรจะมีการปลูกฝังด้านความรักให้เป็นไปตามทำนองคลองธรรมถูกต้องตามหลักธรรมคำสอนของศาสนา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราตลอดไปในชีวิตนี้
ถึงตรงนี้ “ความรัก” ในวันสำคัญทางศาสนาก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เรามีความผูกพันซึ่งกันและกัน คนเราเมื่อมีชีวิตที่เกี่ยวข้องผูกพันซึ่งกันและกันแล้ว ความเอื้ออาทร ความห่วงใย ความคิดถึง ความหวัง ความปรารถนาจะให้คนอื่นพ้นทุกข์มีแต่ความสุข หวังให้คนอื่นได้เจริญรุ่งเรืองในอาชีพหน้าที่การงาน
...
รวมถึงส่งกำลังใจ...คอยให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนก็เป็นการส่งความปรารถนาดีต่อคนอื่นได้ดีเช่นเดียวกัน ความรักในวันสำคัญของศาสนาคริสต์ก็เป็นวันที่นิยมแสดงออกกันอย่างเต็มที่ คู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมานานหลายปีแต่ยังไม่จดทะเบียนก็อาจจะเพิ่งมาจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องกันตามกฎหมายในวันนี้
อีกวันต่อมาคือความรักในทางพระพุทธศาสนา “วันมาฆบูชา” จะออกไปในทางก่อให้เกิดความสะอาด สว่าง สงบทางใจเป็นที่ตั้งเพราะเป็นการรำลึกถึงวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงธรรมแก่พระภิกษุที่มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมายมากถึง 1,250 องค์ ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ที่พระพุทธองค์ได้บวชให้
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า...“วันจาตุรงคสันนิบาต” จึงเป็นการน้อมรำลึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธองค์เป็นที่ตั้ง แล้วน้อมนำเอาหลักธรรมคำสอนเหล่านั้นซึ่งมีมากมาย เลือกเอาส่วนใดส่วนหนึ่งหรือข้อใดข้อหนึ่งไปประพฤติปฏิบัติให้เกิดเห็นเป็นมรรคและเป็นผลในวันข้างหน้า
ความรักที่ควรเกิดขึ้นและควรแสดงออกให้ชัดเจนคือ ความเมตตา ความกรุณา ความมุทิตา ความอุเบกขา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พรหมวิหารสี่” นั่นเอง
...
ความเมตตา...เป็นจุดเริ่มต้นของความปรารถนาดีต่อกัน คนที่เป็นบิดาและมารดามีความเมตตาต่อบุตรและธิดา คนที่เป็นครูบาอาจารย์มีความเมตตาต่อศิษย์ คนที่เป็นหัวหน้าหรือผู้บังคับบัญชามีความเมตตาต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้ช่วยเหลือหน้าที่การงานนั้นๆ คนที่เป็นผู้ใหญ่มีความเมตตาต่อผู้น้อย ฯลฯ
“คนที่มีชีวิตอยู่ในครอบครัวเดียวกัน บ้านเดียวกัน ชุมชนหรือหมู่บ้านเดียวกันต่างมีความเมตตาเป็นที่ตั้งได้แล้ว ก็หวังได้เลยว่าสังคมแห่งความสงบความร่มเย็นก็จะติดตามมาอย่างเห็นเป็นปัจจุบัน”
ความกรุณา...เป็นจุดเชื่อมระยะที่สอง คนเราถ้ามีจิตใจที่คิดจะช่วยเหลือคนอื่น โดยเฉพาะคนที่ตกทุกข์ได้ยากลำบากกว่าเรา เรียกว่ามีความปรารถนาดีเป็นที่ตั้งแล้ว ประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นทันที
ความมุทิตา...เป็นจุดเชื่อมที่สามที่จะก่อให้เกิดสิ่งที่ดีงามติดตามมา เป็นการพลอยยินดีเมื่อคนอื่นได้ดี สุดท้าย ความอุเบกขา...เป็นจุดเชื่อมที่สี่ที่จะก่อให้ความรักของมนุษย์เป็นเช่นใด เมื่อพบเห็นคนอื่นเขามีชีวิตเป็นไปในด้านใดก็รู้จักวางตัวให้เป็นกลาง รู้จักวางเฉยเสียบ้างอย่างเช่นจ่าเฉย
ชาวพุทธหรือชาวโลกควรจะรู้จักนำเอา “พรหมวิหารสี่...มีตั้งแต่ความเมตตา ความกรุณา ความมุทิตา ความอุเบกขา” ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ในการอยู่ร่วมกันในสังคม...เป็นธรรมะที่ทุกชีวิตสามารถปฏิบัติได้และไม่ไกลจากความจริงของชีวิตคนเรา.