ผมเคยเขียนเป็นเชิงบันทึกไว้ในไทยรัฐฉบับวันที่ 4 มกราคม หลังวันขึ้นปีใหม่ 2564 สัก 4 วันเห็นจะได้ เล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบว่า ปีใหม่ 2564 เป็นปีใหม่ที่ผมต้องไปไหว้พระ 9 วัด แบบ Social Distancing เป็นครั้งแรกในชีวิต
เพราะโดยปกติแล้วทุกๆวันขึ้นปีใหม่ผมจะชักชวนสมาชิกครอบครัวขับรถไปจอด ณ ที่จอดรถของ กทม. แถวๆบางลำภู แล้วก็เดินบ้าง ขึ้นรถเมล์ฟรีบ้าง นั่งแท็กซี่บ้าง ตระเวนไหว้พระในพระอุโบสถของวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองในเกาะรัตนโกสินทร์และข้างเคียงจนครบ 9 วัด
แต่เนื่องจากขึ้นปีใหม่ 2564 ที่ผ่านมา...ประเทศไทยเราต้องเจอกับสถานการณ์โควิด-19 “ระบาดระลอก 2” เริ่มจากจังหวัดสมุทรสาคร ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจคุมเข้ม งดจัดงานเฉลิมฉลองและงานรื่นเริงต่างๆทั่วประเทศอีกครั้งหนึ่ง
ไม่มีเคาต์ดาวน์ ไม่มีการยิงพลุที่โน่นที่นี่อย่างที่เคยมีมา
รวมทั้งไม่มีการจัดบริการรถเมล์ฟรีสำหรับให้ประชาชนโดยสารไปไหว้พระ 9 วัด ดังที่เคยจัดไว้ให้ในช่วงหลังๆ
ผมและครอบครัวซึ่งตั้งใจจะสืบทอดประเพณีเอาไว้ ต้องหันมาใช้วิธีนั่งรถออกตระเวนไปตามวัดต่างๆในเกาะรัตนโกสินทร์หรือชายๆเกาะรัตนโกสินทร์ที่เคยมาไหว้เมื่อปีก่อนๆแบบรวดเดียวจบ
นั่งไหว้อยู่บนรถ อธิษฐานขอพรอยู่บนรถ แบบ Social Distancing เต็มรูป ดังที่เขียนเล่าไว้แล้วเมื่อต้นๆปีดังกล่าว
ต่อมาหลังปีใหม่ไม่นานนัก ดูเหมือนว่าระบบสาธารณสุขไทยจะ “เอาอยู่” สามารถควบคุมการระบาดได้อีกครั้ง
รัฐบาลไทยเริ่มผ่อนคลายมาตรการหลายๆอย่าง เพื่อต้อนรับเทศกาล “สงกรานต์” แถมด้วยการประกาศวันหยุดพิเศษให้ล่วงหน้าจนกลายเป็นวันหยุดยาวเหยียดถึง 6 วันเต็ม และถ้าใครลาต่ออีกวันเดียวจะกลายเป็น 9 วันทันที
...
ปรากฏว่า “โป๊ะแตก” อีกจนได้...จุดเริ่มมาจากสถานบันเทิงทองหล่อ และสถานบันเทิงของจังหวัดใหญ่ๆบางจังหวัด...แผล็บเดียวแพร่กระจายไปทั่วประเทศไทย
ยอดติดเชื้อวันละเฉียด 1,000 คน หลายวันติดกัน...และอย่างวันพุธที่ผ่านมายอดติดเชื้อใหม่ก็ทำนิวไฮสูงสุดถึง 1,335 ราย
เจอเข้าขนาดนี้ แม้รัฐบาลจะยังไม่ประกาศล็อกดาวน์ในช่วงสงกรานต์ แต่ประชาชนก็ล็อกดาวน์ตัวเองโดยสมัครใจ
หันมาใช้วิธีสรงน้ำพระในบ้าน รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ในบ้านแทนการออกไปสรงตามวัด หรือเดินทางไปไหว้ผู้ใหญ่นอกบ้าน
ผมซึ่งตั้งใจไว้ว่า จะไปไหว้พระ 9 วัด ในพระอุโบสถสำคัญต่างๆ เพื่อชดเชยการไหว้นอกวัดเมื่อปีใหม่ก็เลยต้องใช้วิธีเดิมอีกครั้ง
นั่นก็คือ ใช้วิธีรวมมวลหมู่สมาชิกครอบครัวนั่งรถไปเพียงคันเดียว มุ่งหน้าสู่เกาะรัตนโกสินทร์ ตระเวนไหว้พระด้วยการใช้วิธีชะลอรถหน้าวัดแล้วประนมมือไหว้จนครบ 9 วัดตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
ปรากฏว่า ผมใช้เวลาน้อยกว่าเมื่อช่วงปีใหม่เยอะเลย เพราะผู้คนน้อยมาก และรถก็น้อยลงมากจนแทบจะกล่าวได้ว่าเหงาสุดขีด
แต่ก็นั่นแหละครับ...สงกรานต์ที่เหงาที่สุดในชีวิตผม กลับกลายเป็นสงกรานต์ที่ประทับใจที่สุดในชีวิตผมเช่นกัน...เมื่อผมพบว่า “เกาะรัตนโกสินทร์” ในยามที่มีผู้คนบางตาเช่นนี้ ช่างสวยงามอย่างบอกไม่ถูก
นับตั้งแต่ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ และ โลหะปราสาท ผ่าน อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปจนตลอดถนนราชดำเนินทั้งสาย ซึ่งมีการประดับประดาตกแต่งด้วยดอกไม้และกระถางต้นไม้ดูงดงามไปหมด
ยิ่งช่วงจะเข้าสู่บริเวณท้องสนามหลวง มองออกไปเห็น พระบรม มหาราชวัง เห็น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม อร่ามเรืองอยู่ข้างหน้าก็อดมิได้ที่จะนึกถึงเพลง “กรุงเทพราตรี” ของ สุนทราภรณ์ ขึ้นมาในบัดนั้น
เพลงที่มีเนื้อร้องท่อนแรกว่า “โอ้กรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร สมเป็นนครมหาธานี” นั่นแหละครับ
เมืองฟ้าอมรจริงๆครับ ทั้งวัด ทั้งวัง ทั้งตึกรามบ้านช่อง ในเกาะรัตนโกสินทร์ แม้จะยังไม่ย่างเข้าสู่ยามราตรี เพราะเพิ่งเป็นเวลาประมาณบ่าย 3 โมงเศษๆเท่านั้น ของวันที่ 13 เมษายน 2564
ถือว่าเป็นข้อดีเล็กๆน้อยๆจากการแพร่ระบาดรอบ 3 ของโควิด-19 จนทำให้วันสงกรานต์ใน กทม. เหงาสุดขีดก็แล้วกันครับ.
“ซูม”