นายจุมภฎ หิมะเจริญ ผอ. ฝ่ายสื่อสารองค์กร การไฟฟ้านครหลวงหรือ MEA เปิดว่า ในช่วงฤดูร้อนของทุกปีที่จะมีอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้ามากที่สุดนั้น หนึ่งในปัจจัยสำคัญ เกิดจากเครื่องปรับอากาศที่ต้องทำงานหนักในสภาวะแวดล้อมภายนอกที่มีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งการทดสอบวัดผลการใช้พลังงานไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศ ในสภาพอุณหภูมิที่แตกต่างกัน โดยการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ขนาด 12,000 BTU พบว่า การตั้งเครื่องปรับอากาศให้มีอุณหภูมิภายในห้องที่ 26 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิภายนอกห้อง 35 องศาเซลเซียสต่อเนื่อง จะใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย 0.69 หน่วยต่อชั่วโมง แต่หากอุณหภูมิภายนอกห้องเป็น 41 องศาเซลเซียสต่อเนื่อง เครื่องปรับอากาศดังกล่าวจะใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย 0.79 หน่วยต่อชั่วโมง หรือกล่าวได้ว่า เมื่ออุณหภูมิภายนอกสูงขึ้น 6 องศาเซลเซียส เครื่องปรับอากาศจะใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นประมาณร้อยละ 14
จากผลการทดสอบดังกล่าว หากคำนวณเป็นค่าไฟฟ้าในอัตราเฉลี่ยหน่วยละ 3.9 บาท จะพบว่า การใช้พลังงานไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศ ในขณะที่อุณหภูมิภายนอกห้อง 35 องศาเซลเซียส จะทำให้เสียค่าไฟฟ้าประมาณ 2.69 บาทต่อชั่วโมง ขณะที่อุณหภูมิภายนอกห้อง 41 องศาเซลเซียส จะทำให้เสียค่าไฟฟ้าประมาณ 3.08 บาทต่อชั่วโมง หากสมมติการใช้งานเครื่องปรับอากาศเป็นระยะเวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน นาน 30 วัน จะพบว่า การใช้เครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิภายนอกห้อง 35 องศาเซลเซียส จะมีค่าไฟฟ้า 646 บาท และการใช้เครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิภายนอกห้อง 41 องศาเซลเซียส จะมีค่าไฟฟ้า 739 บาท ซึ่งสูงกว่าเดิม 93 บาทต่อเครื่องปรับอากาศ 1 เครื่อง ทั้งนี้มีข้อแนะนำวิธีการใช้เครื่องปรับอากาศในฤดูร้อน คือ ควรตั้งค่าเครื่องปรับอากาศขั้นต่ำที่ระดับ 26 องศาฯ รวมถึงล้างเครื่องปรับอากาศอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง.
...