“วิชา” เผยนายกรัฐมนตรีให้ต่ออายุอีก 30 วัน ทำคดี “บอส อยู่วิทยา” อ้างทำปฏิรูปกฎหมาย-กระบวนการยุติธรรม หลัง 31 ส.ค. ส่งได้แค่รายงานฉบับใหญ่แง้ม “บิ๊กตู่” เห็นด้วยกับข้อสรุปที่ส่งให้ว่าผู้นำสูงสุดขององค์กรต้องรับผิดชอบ ถึงไม่ผิดกฎหมายแต่อาจผิดจริยธรรมร้ายแรง แต่ยังอุบมีใครบ้าง อ้างยังไม่ได้ลงมติ โว กก.ชุดสางคดีชี้ช่อง ผบ.ตร.เปิดทางออกหมายจับใหม่บอส 3ข้อหา “หมอแท้จริง” โผล่มอบข้อมูลรื้อคดีเมาไม่ขับหลังเทสต์อาสาสมัคร 6 คนเมาเพียบ แต่ยังขับได้ ตม.ดึ๋งดั๋งพร้อมจับกุม“บอส อยู่วิทยา” หากกลับไทย

จากคดีที่ทำให้ประชาชนเคลือบแคลงใจกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะตำรวจและอัยการ กรณีอัยการยกฟ้องนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อดัง ขับรถสปอร์ตเฟอร์รารี่ ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิตบนถนนสุขุมวิทเมื่อเช้ามืด วันที่ 3 ก.ย.55 ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้นายวิชา มหาคุณ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชนในคดีนี้ มีการเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายคนไปซักถาม ขณะที่ตำรวจและอัยการต่างฝ่ายต่างตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาข้อบกพร่องเหตุใดถึงไม่มีการสั่งฟ้อง กระทั่งล่าสุดพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ยื่นศาลอาญากรุงเทพใต้ ขอออกหมายจับบอสอีกครั้งในข้อหา 1.ขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ไม่หยุดช่วยและแจ้งเจ้าหน้าที่โดยทันที และ 3.บวกเสพโคเคนอีก 1 ข้อหา ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

...

นพ.แท้จริงยื่นหลักฐานเพิ่มส่ง “วิชา”

ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อเวลา 13.10 น.วันที่ 26 ส.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อาคารเทเวศร์ นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ยื่นหนังสือถึงนายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ในคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรณีเมาแล้วขับ โดย นพ.แท้จริงกล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 ส.ค.63 มูลนิธิฯได้จัดเวทีสาธารณะตามหาความจริงคดีบอส ยุติธรรมหรือธรรม-ยุติ ที่ทำให้พบหลักฐานใหม่ที่พิสูจน์หักล้างพบข้อมูลจากการนำอาสาสมัคร 6 คน มาทดสอบการลดลงของปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย ภายหลังจากการดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป พบว่าการลดลงของปริมาณแอลกอฮอล์ 15 เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลา 1 ชั่วโมงนั้น ไม่เป็นความจริง อาสาสมัครที่เข้าร่วมทดสอบ 6 คน มีผลแตกต่างกัน

เทสต์อาสาสมัครเมาปริ่มยังขับรถได้

เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับกล่าวต่อว่า ในจำนวนอาสาสมัครที่เข้ารับการทดสอบดังกล่าว เป็นบุคคลที่เคยถูกตำรวจจับดำเนินคดีในความผิดเมาแล้วขับที่ยินยอมมาให้ข้อมูล 3 คน ทั้ง 3 คนมีปริมาณแอลกอฮอล์ 396 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์395 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และ 393 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ วันที่ถูกจับกุมทุกคนให้ข้อมูลว่าในวันนั้นขับรถมาถึงด่านได้โดยปกติแล้วถูกตำรวจเรียกตรวจ ไม่มีอาการที่แสดงว่าไม่มีสติที่จะขับรถไม่ได้ ถือเป็นหลักฐานใหม่ที่พิสูจน์ได้ว่า กรณีนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในขณะนั้นลงความเห็นไว้ ที่ระบุว่าปริมาณแอลกอฮอล์ 389 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ อาจทำให้เมาจนไม่มีสติที่จะขับขี่รถได้นั้นไม่เป็นความจริง

ชี้นำไปสู่การรื้อคดีบอสเมาแล้วขับ

นพ.แท้จริงกล่าวต่อว่า หลักฐานใหม่นี้อาจจะนำไปสู่การรื้อคดีใหม่ว่านายวรยุทธ เมาแล้วขับ จะนำไปสู่การพิจารณาฟ้องร้องในฐานขับขี่โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีอายุความถึง 15 ปี ขณะนี้อายุความยังเหลืออยู่ 7 ปี เมื่อนับจากวันที่เกิดเหตุปี 2555 ทั้งนี้คาดหวังว่านายวิชาจะนำข้อมูลใหม่นี้ไปเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป วันนี้สังคมเดินเลยจุดนั้นมาแล้ว จุดที่ต้องรอให้ตำรวจ สน.ทองหล่อ พิจารณาว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธแล้ว เพราะเชื่อว่าขณะนี้ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีและเมื่อเรามีหลักฐานใหม่ก็ยื่นให้คณะกรรมการพิจารณาไม่จำเป็นต้องรอลุ้นอีกว่าตำรวจ สน.ทองหล่อจะฟ้องหรือไม่

วิชาขอดูข้อมูลตรวจสอบก่อน

ด้านนายวิชากล่าวว่า ต้องขอดูข้อมูลและตรวจสอบ โดยเฉพาะเรื่องอายุความ เพราะคดีเมาแล้วขับมีอายุความ 15 ปี ต้องขอตรวจสอบให้ชัดเจน การรื้อฟื้นคดีในบางข้อกล่าวหาที่ถือว่ามีความไม่เป็นธรรม และทำให้กลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับการทำคดีต่อไปในอนาคต การรื้อฟื้นคดีในส่วนนี้อย่างน้อยจะเป็นประโยชน์ว่าการพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญ น่าจะมีความเชี่ยวชาญหรือมีความรู้หรือมีความคิดที่จะทำให้เมาแล้วขับรถน้อยลง จากนี้อาจจะต้องเชิญนพ.แท้จริงมาให้ข้อมูล อย่างไรก็ตาม วันนี้เป็นการประชุมข้อสรุปทั้งหมดที่สอบพยานในคดีนายวรยุทธไปทั้งหมด

...

เวลาน้อยบางเรื่องอาจจะไม่สมบูรณ์

ต่อมาเวลา 16.50 น. นายวิชาเปิดเผยภายหลังเข้าประชุมติดตามความคืบหน้าการตรวจสอบตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธว่า วันนี้ได้หารือกันเพื่อทำรายงานเสนอให้นายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 3 โดยจะทำโครงสร้างและรวบรวมเพื่อนำไปสู่การทำรายงานฉบับใหญ่เพราะครบกำหนด 30 วัน โดยจะดำเนินการยื่นในวันจันทร์หน้า อย่างไรก็ตาม บางประเด็นอาจจะยังไม่สมบูรณ์ เพราะเวลา 30 วันที่ทำหน้าที่มาถือว่าน้อยมาก ทำงานกันทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หยุด ถือว่าเป็นภาระอันหนักหนามาก เพราะต้องมารับฟังเรื่องหนักๆทั้งนั้น ถึงที่สุดถือว่าได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเสนอนายกรัฐมนตรีในประเด็นต่างๆที่สำคัญ ทั้งการทำสำนวนคดีตั้งแต่แรกว่ามีข้อบกพร่องอะไร และขั้นตอนของอัยการก็ใช้เวลานานเนื่องจากมีการร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้ง

นายกฯให้ต่อเวลาทำงานอีก 30 วัน

นายวิชากล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือ ได้ขอความเห็นจากอดีตอัยการสูงสุดถึง 4 คนเพื่อให้ช่วยดูว่ากรณีที่เกิดขึ้นนี้เป็นกรณีที่ขาดตกบกพร่องหรือไม่อย่างไร ควรจะปรับปรุงอะไรบ้าง ทั้งหมดถือเป็นประโยชน์มาก ทั้งนี้ จะนำไปสู่การประกอบ ความเห็นเพื่อให้แน่ใจว่าจุดบอด จุดบกพร่องของเรื่องนี้อยู่ตรงไหน ทั้งนี้ ยังเหลือเวลาอีก 5 วัน ที่เราจะต้องสรุปภาพรวมทั้งหมด เพื่อดูว่ามีประเด็นใดบ้างต้องแก้ไข แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดถึงการปฏิรูปกฎหมายเพราะทราบว่าท่านจะให้ต่อเวลาอีก 30 วัน แต่ก็สุดแล้วแต่นายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากมีร่างกฎหมายรอผ่านการพิจารณาในสภาอยู่คือ ร่าง พ.ร.บ.สอบสวนคดีอาญา

ข้อสรุปแนะผู้นำหน่วยต้องรับผิดชอบ

...

นายวิชากล่าวต่อว่า สำหรับการจัดทำข้อสรุปเรื่องนี้ เมื่อเราส่งให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ หากท่านเห็นสมควรให้เผยแพร่หรือไม่ ตนคงไปเที่ยวเผยแพร่เองไม่ได้ ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีจะพิจารณา คงไม่ทำอะไรล่วงละเมิดอำนาจท่าน ในการจัดทำข้อสรุปคดีนี้เพียงแต่ทำให้เห็นภาพว่าข้อบกพร่องขององค์กรเป็นอย่างไร นายกรัฐมนตรีเห็นด้วยกับรายงานของเราที่บอกว่า การเป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้นำสูงสุดขององค์กรต้องรับผิดชอบ จะไปสั่งการแล้วบอกว่าไม่ติดตามไม่ดูแลไม่ได้ แต่จะต้องลงลึกถึงตรงนั้น ส่วนจะรับผิดชอบแค่ไหนเพียงไรต้องไปดูรายละเอียดเพราะพูดกันมากว่า ถึงไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดระเบียบก็อาจจะผิดจริยธรรมในรัฐธรรมนูญปี 2560 บอกว่าหากผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงก็จะถูกดำเนินการเหมือนกัน

ยังไม่ระบุเป็นอัยการหรือตำรวจ

เมื่อถามว่าบุคคลที่เข้าข่ายจริยธรรมมีกี่คน นายวิชากล่าวว่า ยังแตกรายละเอียดอย่างนั้นไม่ได้ แต่มันรู้อยู่แก่ใจของเราว่ามีใครบ้างที่ควรจะต้องรับผิดชอบอย่างไร ถึงขนาดไหน ตรงนี้คือสิ่งที่การตรวจสอบจะต้องทำให้ปรากฏ อันนี้หนีไม่พ้น เราไม่ได้บอกว่าเขาผิดอย่างโน้นอย่างนี้ แต่จะบอกว่า การกระทำของเขามันส่อหรือมันแสดงเห็นพฤติกรรมได้ว่า มันเป็นเช่นนั้น สมควรที่จะดำเนินการให้หน่วยงานใดที่จะตรวจสอบต่อไป เพราะจะต้องไปตรวจสอบในเชิงลึก เมื่อถามอีกว่าในรายงานที่จะส่งถึงนายกรัฐมนตรีจะระบุชื่อบุคคลชัดเจนหรือไม่ นายวิชาตอบว่า “มีทั้งบุคคล มีทั้งคนที่เกี่ยวข้อง” เมื่อถามย้ำอีกว่าเท่าที่ดูข้อเท็จจริงคดีนี้บุคคลที่เข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรงเป็นฝ่ายอัยการหรือตำรวจ นายวิชาตอบว่า “อย่าเพิ่งพูดตอนนี้ เพราะยังไม่ได้ลงมติกันเรื่องนี้”

ถอนหมายแดง ตร.อ้างเป็นวิธีปฏิบัติ

...

นอกจากนี้ นายวิชายังกล่าวถึงกรณีคณะกรรมการตรวจสอบตำรวจเชิญ พล.ต.ต.วรวัฒน์ อมรวิวัฒน์ ผบก.กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาชี้แจงเรื่องการถอนหมายแดงจากตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) ว่า ทางด้านต่างประเทศแสดงให้เห็นเลยว่า พอเขาแจ้งมาว่าให้ถอนหมายจับ ท่านได้ติดต่อเพื่อขอให้ถอนหมายแดงจากอินเตอร์โพล จนกระทั่งปัจจุบันนี้ไม่มีหมายแดงแล้ว มีแต่หมายจับของไทย แต่ไม่ได้ดำเนินการในด้านต่างประเทศ แต่เชื่อว่าต่อไปทางตำรวจที่จะออกหมายจับใหม่ คงจะประสานทางอินเตอร์โพลในการขอออกหมายแดงอีกครั้งหนึ่ง เมื่อถามว่า สรุปแล้วใครสั่งให้ถอนหมายแดง นายวิชาตอบว่า “เขาอ้างว่าเป็นไปตามวิธีปฏิบัติ เมื่อได้รับแจ้งมาว่าอัยการสั่งไม่ฟ้อง แล้วก็ขอถอนหมายจับ ขณะนั้นยังไม่ได้มีการยืนยัน โดยอธิบดีอัยการศาลอาญากรุงเทพใต้ เกี่ยวกับเรื่องหมายจับ

ยังสงสัยมือถือพยานที่ตายถูกทำลาย

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่ากระบวนการถอนหมายแดงเกิดขึ้นโดยที่ยังไม่รู้ว่าหมายจับยังไม่ได้ถอนใช่หรือไม่ นายวิชาตอบว่า “ใช่ กลายเป็นว่าเขาเชื่อตามที่ฝ่ายตำรวจ ฝ่ายพนักงานสอบสวนแจ้งมาว่าอัยการสั่งไม่ฟ้องแล้ว” เมื่อถามต่อไปว่ากระบวนการออกหมายจับครั้งใหม่ของนายวรยุทธ เป็นผลพวงมาจากคณะกรรมการฯชุดนี้ใช่หรือไม่ นายวิชากล่าวว่า ก็ใช่ เป็นส่วนหนึ่งที่ได้แจ้ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ว่ามีข้อบกพร่องตรงไหนบ้าง ส่วนการเชิญ พ.ต.อ.รณชัย รอดลอย ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ มาชี้แจงเรื่องการเสียชีวิตของนายจารุชาติ มาดทอง พยานคนสำคัญในคดีนี้ ทราบว่ามีการแยกคดีออกเป็น 2 กรณี คือ 1.กรณีอุบัติเหตุ ที่เขาไม่พบสิ่งผิดปกติ 2.กรณีพบสิ่งผิดปกติจากพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนหรือคนรอบข้างนายจารุชาติ ที่มาจากเรื่องของโทรศัพท์มือถือ ที่ได้ความว่าถูกทำลายที่ยังเป็นข้อสงสัยอยู่ว่าถูกทำลายได้อย่างไร อยู่ระหว่างสอบรายละเอียดรวมถึงสอบเส้นทางการเงินด้วย

ยังอยู่ระหว่างสอบเส้นทางการเงิน

เมื่อถามต่อถึงความคืบหน้าในการประสานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินบุคคลที่เกี่ยวข้อง นายวิชากล่าวว่า ประสานไปเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ ปปง. เพราะ ป.ป.ช.จะเป็นองค์กรหลักในการดำเนินการที่จะต้องแจ้งให้ ปปง.รับทราบ เนื่องจากว่าจะมีผู้ร้องเรียนในเรื่องการทุจริตด้วย และจะประสานไปที่ ปปง. เพื่อดำเนินการต่อไป เมื่อถามย้ำว่า คณะกรรมการฯจะเป็นคนยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.หรือไม่ นายวิชากล่าวว่า “ไม่ๆ มีคนร้องเรียนไปล่วงหน้า มันมีสำนวนของมันอยู่”

มุนินทร์เผยส่ง “บิ๊กตู่” ทันกรอบ 31 ส.ค.

ขณะที่นายมุนินทร์ พงศาปาน คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในฐานะ กรรมการฯ กล่าวว่า การประชุมวันนี้เป็นการสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นที่เกิดข้อพิรุธของคดีทั้งหมด คาดว่าจะสรุปภาพรวมส่งให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาทันภายใน 31 ส.ค.นี้ ตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ ส่วนประเด็นข้อเสนอแนะสำหรับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมนั้น ประธานคณะกรรมการเตรียมเสนอขอขยายเวลาออกไปอีก

น.1 เผยศาลออกหมายจับ 3 ข้อหา

วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. เปิดเผย ว่า เมื่อวันที่ 25 ส.ค.พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมตามคำสั่งของพนักงานอัยการและคณะกรรมการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) แต่งตั้งขึ้น จากการรวบรวมพยานหลักฐานพบว่า นายวรยุทธกระทำความผิดเพิ่มเติมในข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานให้ศาลพิจารณา ศาลอาญากรุงเทพใต้พิจารณาแล้วมีหลักฐานควรเชื่อก็มีการแก้หมาย โดยยกเลิกหมายจับเก่า และเพิ่มข้อหาเสพยาเสพติดเพิ่มเติม โดยดำเนินคดี 3 ข้อหา ดังนี้ 1.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถผู้อื่นเสียหาย มีผู้ถึงแก่ความตาย 2.ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหายและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานในทันที และ 3.เสพยาเสพติดให้โทษ ประเภท 2 (โคคาอีน)โดยผิดกฎหมาย ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานแล้วส่งให้พนักงานอัยการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

สำนวนพร้อมส่งอัยการ 28 ส.ค.

เมื่อถามว่า ข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลืออายุความ 5 ปี อายุความหมดไปแล้วหรือไม่ พล.ต.ท.ภัคพงศ์กล่าวว่า เป็นการแก้ไขหมายจับเดิม ศาลยังไม่ได้พิจารณา หลังจากมีการดำเนินการจะมีการพิจารณาในส่วนนี้ต่อไปว่าหมดอายุความหรือไม่หมด เมื่อถามต่อว่าวันศุกร์ที่ 28 ส.ค. พนักงานอัยการกำหนดให้ส่งสำนวน บช.น.พร้อมหรือไม่ ผบช.น.กล่าวตอบว่า พร้อมแล้วโดยได้รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมส่งให้พนักงานอัยการพิจารณา สำหรับรายละเอียดในเรื่องอื่นคงต้องสอบถามพนักงานอัยการและคณะกรรมการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แต่งตั้งขึ้นมา ทั้งนี้ บช.น.ได้ดำเนินการเพิ่มเติมตามที่ได้รับคำสั่งมา เพราะคดีนี้แต่เดิมบช.น.มีความเห็นสั่งฟ้องแต่แรก จะไม่ขอขยายเวลาในการสอบสวนเพิ่มเติม

ตม.ดึ๋งดั๋งสั่งทุกด่านเจอเป็นจับ

อีกด้านหนึ่งที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ ออกหมายจับนายวรยุทธ ว่า หมายจับเก่าของศาลได้มีการยกเลิกและถอนหมายจับออกไปถือว่าสิ้นสุดลงตามกฎหมาย ล่าสุดวันที่ 25 ส.ค.63 ผกก.สน.ทองหล่อ ประสานมายัง สตม. ส่งหมายจับใหม่ 3 ข้อหามาให้ สตม.เข้าระบบเทคโนโลยีตรวจคนเข้าเมืองที่เรียบร้อยแล้วเพื่อเฝ้าดูและเฝ้าระวังในระบบของการตรวจการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยอย่างเข้มงวดตามช่องทางที่กำหนดไว้ของประกาศกระทรวงมหาดไทย ทั้งทางบกทางน้ำและทางอากาศ ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ตรวจคนเข้าเมืองทุกจังหวัดทั่วประเทศ ครอบคลุมเข้มงวดกวดขัน หากพบตัวสามารถจับกุมและควบคุมตัวตามหมายจับดังกล่าวได้ทันที สำหรับประเด็นที่พำนักของนายบอสในต่างประเทศนั้น พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ จะต้องทำหนังสือถึงกองการต่างประเทศเพื่อประสานนำตัวนายบอสกลับมาต้องดูว่าเข้าเงื่อนไขสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ ในส่วนนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองยินดีจะประสานข้อมูลกับกองการต่างประเทศ หากมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับการติดตามตัวนายบอสกลับมา

โฆษกศาลรับผิดพลาดทางธุรการ

วันเดียวกัน นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวว่า ได้ตรวจสอบหมายจับของพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ที่กล่าวหานายวรยุทธ อยู่วิทยา ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ฯได้เพิกถอนหมายจับเดิมและออกหมายจับใหม่พบว่า มีทั้งหมด 3 ข้อหา คือ ขับรถประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) โดยผิดกฎหมาย และขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหายและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานในทันที ส่วนกรณีเมื่อวันที่ 25 ส.ค.63 มีรายงานว่ามีการออกหมายจับ 2 ข้อหา เกิดจากความผิดพลาดทางธุรการ เนื่องจากมีการ ออกหมายจับ 2 ข้อหาจริง แต่ภายหลังมีการขอแก้ไขการออกหมายจับนายวรยุทธ เป็นการขอผ่านทางเอกสาร ไม่สามารถตรวจสอบในระบบได้

กมธ.กฎหมายฯยุติตรวจสอบ

ส่วนที่รัฐสภา นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณากรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา กรณีขับรถชนตำรวจเสียชีวิต โดยที่ประชุมได้เชิญ พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร พยานที่เห็นเหตุการณ์ นายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์ประจำและหัวหน้าศูนย์วิจัยเฉพาะทางวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. มาชี้แจง แต่ปรากฏว่านายสายประสิทธิ์ไม่ได้มาชี้แจง ขณะที่ พล.อ.ท.จักรกฤชไม่ตอบรับเอกสารเชิญ ส่วน พล.ต.อ.สมยศมีหนังสือชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้ไม่มีใครมาชี้แจงต่อ กมธ. ดังนั้น กมธ.จึงพิจารณาและมีความเห็นว่า เนื่องจากมีการออกหมายจับนายวรยุทธแล้ว สมควรหยุดการตรวจสอบ ให้รอผลตรวจสอบของรัฐบาลชุดนายวิชา มหาคุณ และผลการตรวจสอบของอัยการและตำรวจ