ในเช้าวันศุกร์แสนสดใสปลายสัปดาห์ของเหล่านักเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ พ่อแม่ผู้ปกครองจูงมือลูกจับมือหลานเดินทางไปแสวงหาความรู้ที่โรงเรียน อันเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและแวดล้อมด้วยความบริสุทธิ์อีกแห่งหนึ่งรองจากที่บ้าน
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น!
หญิงสาววัย 36 ปี แต่งตัวคล้ายผู้ปกครอง พกมีด 3 เล่ม เดินด้วยท่าทีเรียบเฉยเข้าไปในโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ ถนนคอนแวนต์ แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. เธอเดินเข้าไปภายในโรงเรียน โดยที่ไม่มีใครผิดสังเกตการมาครั้งนี้ของเธอแม้แต่น้อย
เธอเดินขึ้นไปชั้นนู้นชั้นนี้ ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่ชั้น 2 ของอาคารเซนต์ปอล พร้อมกับจ้องไปที่เด็กหญิงคนหนึ่งอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง จากนั้นเธอย่างสามขุมไปที่เด็กหญิงหน้าตาหมวยลูกครึ่งไทยจีน
“ฉับ ฉับ ฉับ!” เธอจ้วงแทงเด็กหญิงหน้าหมวยไม่ยั้ง
เด็กหญิงอีกหลายคนที่ยืนอยู่ในวินาทีแทง วิ่งแตกกระเจิงไปหลบๆ ซ่อนๆ ตามมุมต่างๆ ของโรงเรียนด้วยอาการขวัญผวาขีดสุด เพราะใครเล่าจะไปคิดว่า เช้าวันศุกร์อันสดใส ดันมีใครก็ไม่รู้วิ่งเข้ามาถึงใจกลางโรงเรียน พร้อมกับใช้มีดไล่แทงเพื่อนๆ พี่ๆ น้องของพวกเธอไม่ยั้งเช่นนี้
...
ต่อจากเด็กหญิงหน้าหมวย หญิงมือมีด เดินจ้ำๆ ไปยังเด็กหญิงที่นั่งอยู่บริเวณอื่นๆ ของโรงเรียน พร้อมกับแทง ฉับ ฉับ ฉับ ไปที่เด็กหญิงอีก 3 รายอย่างอุกอาจ
2 ใน 4 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะมีดของหญิงผู้นั้น ได้แทงเข้าไปทะลุปอด และอวัยวะภายในของหนูน้อยนักเรียนหญิง โดย 4 ชีวิตเคราะห์ร้ายนั้น มีนักเรียนชั้น ป.6 วัย 12 ปี จำนวน 1 คน และอีก 3 คนเป็นนักเรียนชั้น ม.2 วัย 14 ปี
ในดวงจิตดวงใจของหญิงมือมีด ได้ยินเสียงหนึ่งจากสวรรค์สั่งให้ทำอะไรสักอย่างกับเด็กหญิงหน้าตาลูกครึ่งแขก และเด็กหญิงหน้าหมวยไทยจีน เธอเดินยิ้มๆ แต่จ้วงไม่ยั้งไปยังเป้าหมายที่หมายตาไว้
สถานการณ์ภายในโรงเรียนวุ่นวายขีดสุด นักเรียนวิ่งหนีไปทั่วทุกมุมของโรงเรียน ก่อนที่คุณครูจะใช้เวลาพักหนึ่งระงับเหตุการณ์ให้สงบลงด้วยความรู้สึกที่ครูก็หวาดผวาไม่ต่างจากนักเรียน
คุณครูสั่งให้เด็กๆ ไปรวมตัวกันอยู่ในห้องเรียนและให้เดินย่อตัวอย่างเงียบเชียบที่สุด ระหว่างทางมีกองเลือดอยู่บนพื้น ผนังตึกเปื้อนเลือดชวนให้เสียขวัญ และเมื่อเข้ามาถึงด้านในห้องเรียนได้แล้ว ทุกคนช่วยกันล็อกประตูห้องเรียนอย่างแน่นหนาถึง 2 ชั้น (ประตู 2 ชั้น คือ ประตูกระจก กับประตูไม้) และไม่พอเท่านั้น คุณครูยังยกโต๊ะมาขวางไว้ที่ประตูเหมือนกับคนหนีตายในหนังซอมบี้
บรรยากาศภายในห้องเรียน ณ เวลานั้น ไม่มีแม้แต่เสียงพูด ทุกอย่างเงียบสนิท เพราะทุกชีวิตในห้องเรียนต่างกลัวว่า คนร้ายจะได้ยินเสียงคุย และบุกเข้ามาในห้อง!
ในช่วงเวลาสุดแสนจะน่าสะพรึงกลัวนั้น หากครูคนใดจะเข้ามาในห้อง ต้องพูดรหัสกับคนด้านในว่า ชื่อเสียงเรียงนามเต็มๆ ชื่ออะไร สอนวิชาอะไร เพราะทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่ภายในห้อง ต่างกลัวอย่างที่สุดว่า คนที่มาเคาะประตูห้องเรียนจะไม่ใช่ครูที่พวกเขาคุ้นเคย
นักเรียนที่อยู่รวมตัวกันในห้อง ต่างพูดจากันอย่างกระซิบกระซาบ บางคนเล่าว่าตัวเองอยู่ในวินาทีที่หญิงสาวจ้วงแทง บางคนบอกว่าผู้หญิงคนนี้ผมสั้น ใส่ชุดสีแดงเลือดหมู บางคนบอกว่า ตอนแทง ผู้หญิงคนนั้น หันมายิ้มให้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางคนเล่าว่า เพื่อนของเธอ ถูกแทงจากด้านหลัง เพราะหนีไม่ทัน
...
ส่วนบรรยากาศด้านนอกโรงเรียน คือ เสียงหวอไซเรนดังระงม ผู้ปกครองเกาะลูกกรงแน่น แต่ละคนสีหน้าหวั่นวิตก บางคนเริ่มสติแตก บางคนร้องไห้ บางคนเครียดจนลงไปนั่งกับพื้น บางคนทำท่าเหมือนจะบุกเข้ามาช่วยลูกในโรงเรียน บางคนตะโกนว่าลูกฉันอยู่ในนั้น แต่ครูพละ กับรปภ.โรงเรียนช่วยกันกั้นไว้ ทุกๆ อย่างมันชุลมุนวุ่นวายอย่างมาก
ไม่กี่นาทีหลังก่อเหตุ หญิงคนร้ายได้ขึ้นจักรยานยนต์รับจ้าง และจ้างวานให้ไปส่งที่แยกเพลินจิต แต่เปลี่ยนใจให้ไปส่งที่สะพานเหลือง ถนนพระราม 4 ไปลงที่ป้ายรถเมล์ตรงข้ามสถานีรถไฟหัวลำโพง จ่ายเงินให้จักรยานยนต์รับจ้าง 100 บาท จากนั้น ได้ทิ้งมีด 1 เล่มในถังขยะข้างทาง ส่วนมีดที่เหลือทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุ
วันรุ่งขึ้น เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่ง ย่านจตุจักร โทรเข้ามาแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาสมัครงานที่ร้าน หน้าตาคล้ายผู้ต้องสงสัยที่ปรากฏอยู่ในข่าว
จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปควบคุมหญิงคนดังกล่าวที่ร้านอาหารแห่งนั้นทันที และก็เป็นไปอย่างที่คิด เธอคือหญิงมือมีดจริงๆ!
...
จากการสอบปากคำ เธอชื่อ จิตรลดา บ้านอยู่นครปฐม เธอขอเงินแม่จำนวน 5 แสนบาทมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมการทั้งหมด และเธอได้ยินเสียงจากสวรรค์สั่งให้เธอกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งกับคนแขกและคนจีนที่มีฐานะร่ำรวย เพราะบุคคลเหล่านี้เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ และเอารัดเอาเปรียบคนไทยมาตลอด
โดยพนักงานสอบสวนดำเนินคดี 3 ข้อหา คือ 1. พยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 2. ทำร้ายร่างกาย และ 3. พกพาอาวุธมีดเข้าไปในที่สาธารณะ จากนั้น นำตัวเข้าห้องควบคุมบนชั้น 2 ของโรงพัก
ขณะที่ ประวัติของ น.ส.จิตรลดา นั้น จบการศึกษาชั้น ปวส. จากโรงเรียนพาณิชย์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ จากนั้น เข้าทำงานเป็นพนักงานขายรถที่บริษัทแห่งหนึ่งย่านอนุสาวรีย์ชัยฯ แต่ต้องลาออก เพราะมีอาการทางประสาท เข้ารับการรักษาตัวครั้งแรกที่โรงพยาบาลนิติจิตเวช และนอนรักษาตัวเป็นเวลาหลายเดือน ก่อนย้ายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เคยมีอาการผิดปกติ ใช้มีดปังตอฟันหัวพ่อเลี้ยงมาแล้วครั้งหนึ่ง ส่วนอุปนิสัยส่วนตัวชอบของแพงๆ หรูๆ พักตามโรงแรมแชงกรี-ลา โรงแรมโนโวเทล
...
ถัดมาอีก 3 วันหลังก่อเหตุ นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ณ ขณะนั้น ได้ออกมาแถลงข่าวผลการทดสอบสุขภาพจิตของ น.ส.จิตรลดา เบื้องต้นพบว่า ป่วยเป็นโรคจิตเภท ชนิดพารานอยด์ หรือที่เรียกภาษาทั่วไปว่า “โรคหวาดระแวง” โดยคนไข้จะมีความรับผิดชอบทั่วไป แต่ความคิดและการกระทำจะสับสนไม่ทราบว่า จะทำเพื่ออะไร รวมทั้งมีอาการหวาดระแวง จะได้ยินเสียงพูดหลอน หรือสั่งให้ทำอะไร
ถัดมาอีก 4 วันหลังเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนนำตัว น.ส.จิตรลดา ไปรักษาอาการป่วยทางจิตที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ โดย นพ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ ผอ.สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ได้ออกมาแถลงข่าวว่า น.ส.จิตรลดา เคยเข้าพักรักษาตัวที่นี่เมื่อ 10 ปีก่อน จำนวน 2 ครั้ง ซึ่งอาการครั้งนั้นมีความผิดปกติ คิดว่าตัวเองโดนไสยศาสตร์ มีคนเล่นของเสกเข้าตัว เมื่อรักษาตัวใกล้เป็นปกติแล้ว ต้องรักษาต่อเนื่อง แต่ตอนนั้น ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาต่อ
ถัดมา 20 วันหลังเกิดเหตุ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงว่า น.ส.จิตรลดา มีความผิดปกติทางจิต แต่ยังระบุไม่ได้ว่าเป็น "โรคหวาดระแวง" หรือไม่ และมีแนวคิดผิดปกติมาก ยังไม่สามารถต่อสู้คดีควรได้รับการบําบัดอีกประมาณ 3 เดือน ระบุ ป่วยเรื้อรังมานาน 14-15 ปี
ปีต่อมา 25 ธ.ค.2549 อัยการยื่นฟ้อง น.ส.จิตรลดา ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดฐานพยายามฆ่า และพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร ศาลประทับรับฟ้อง แต่เนื่องจากเห็นว่า จําเลยยังมีอาการจิตกังวล ดังนั้น จึงออกหมายขังไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง แต่ให้ส่งตัวไปรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ พร้อมให้แพทย์ส่งรายงานการตรวจรักษามาให้ศาลพิจารณาด้วย และให้นําตัวมาศาลอีกครั้ง
ปีต่อมา 20 พ.ย. 2551 ศาลอาญาพิพากษา จําคุก น.ส.จิตรลดา 8 ปี จําเลยสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจํา คุก 4 ปี ทั้งนี้ศาลไม่เชื่อว่า ป่วยทางจิต เนื่องจากมีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนก่อนก่อเหตุหลังพ้นโทษให้ส่งตัวไปคุมตัวรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ จนกว่าจําเลยจะอยู่ร่วมในสังคมได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อสังคม พร้อมให้แพทย์ผู้รักษารายงานผลต่อศาลทุก 6 เดือน
จากนั้น ปี 2559 มีรายงานจากสื่อว่า น.ส.จิตรลดา ทำงานบ้านและช่วยมารดาทำงานในสวนผลไม้ ช่วยงานสังคมอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ขอพูดถึงเรื่องราวของตนเอง ส่วนมารดาระบุว่า น.ส.จิตรลดา รับประทานยาต่อเนื่อง และไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และชาวบ้านในชุมชนก็ไม่มีใครหวาดระแวง.