ศาลแพ่งพิพากษาให้ “ศุภชัย ศรีศุภอักษร” อดีตประธานกรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นชดใช้เงินคืนให้สหกรณ์เครดิตฯ กว่า 9.6 พันล้านบาท หลังใช้อำนาจเบิกจ่ายเงินโดยทุจริต ระหว่างปี 52-55 ขณะเดียวกันยังพิพากษาให้เงินของมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และวัดพระธรรมกาย ในบัญชีธนาคารธนชาตและธนาคารกรุงไทย รวม 58 ล้านบาท เป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบ คืนให้แก่สหกรณ์เครดิตฯพร้อมดอกเบี้ย
พิพากษาสั่งอดีต ปธ.สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯกับพวกชดใช้ 9 พันล้านบาท เปิดเผยที่ศาลแพ่ง เมื่อเย็นวันที่ 31 ม.ค. ศาลมีคำพิพากษาในคดีที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จํากัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายศุภชัย ศรีศุภอักษร กับพวก รวม 9 คน เป็นจําเลยและจําเลยร่วม ในคดีรวมการพิจารณาคดี หมายเลขดําที่ พ.3628/2557และ พ.4462/2557เข้าด้วยกัน ให้จำเลยใช้เงินฐานละเมิดพร้อมดอกเบี้ยกรณียักยอกเงิน
โจทก์ฟ้องทั้งสองสํานวนใจความสรุปว่า ระหว่าง วันที่ 1 ม.ค.52-30 พ.ค.55 ขณะที่นายศุภชัย จําเลย ที่ 1 ดํารงตําแหน่งประธานกรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบเบิกจ่ายเงินโดยทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ด้วยเช็ครวม 878 รายการ เป็นเงิน 11,367,218,813.84 บาท โดยระบุว่าเป็นการทดรองจ่าย แต่ไม่ได้นําเงินที่เบิกจ่ายมาคืน ทั้งนี้ มีการสั่งจ่ายเช็คให้แก่บุคคล ภายนอก รวม 191 รายการ โดยสั่งจ่ายเช็คให้แก่จําเลยที่ 2 รวม 22 รายการ เป็นเงิน 119,020,000 บาท ส่วนจําเลยที่ 3 ลงนามสั่งจ่ายเช็คร่วมกับจําเลยที่ 1 โดยไม่มีอํานาจหน้าที่ในการสั่งจ่ายเช็ค จําเลยที่ 4 และ 5 เป็นเจ้าหน้าที่การเงินสหกรณ์ใช้อํานาจ หน้าที่ร่วมกันจงใจ ยินยอมและสนับสนุนให้จําเลยที่ 1 เบียดบังและยักยอกเงินของสหกรณ์ ส่วนจําเลย ที่ 6, 7, 8 และ 9 ได้รับเงินหรือทรัพย์สินจากจําเลย ที่ 1 สั่งจ่ายเช็คสหกรณ์ อันเป็นการได้มาซึ่งเงินหรือทรัพย์สินโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ขอให้บังคับจําเลยที่ 1 และ 2 ร่วมกันชําระเงิน 119,020,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย บังคับให้จําเลยที่ 1, 3, 4 และ 5 ร่วมกันชําระเงินจํานวน 9,522,533,049.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้จําเลยที่ 1 ร่วมกับจําเลย ที่ 6 ,7, 8 และ 9 ชําระเงินคืนส่วนที่จําเลยแต่ละคน ได้รับไป
...
ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอให้เรียกพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระญาณมหามุนี และพวก รวม 32 คน เข้าเป็นจําเลยร่วม เเต่ต่อมาโจทก์ขอถอนฟ้องจําเลยที่ 4, 5, 6 และจําเลยร่วมที่ 30, 31 วัดพระธรรมกาย และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ จำเลยร่วมที่ 32 ทั้งนี้ จําเลยและจําเลยร่วมให้การในทํานองเดียวกันว่า คดีที่โจทก์ฟ้องขาดอายุความละเมิด 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ว่ามีสิทธิเรียกทรัพย์สินคืนและทรัพย์สินที่จําเลยที่ 6-9 ได้มานั้น เป็นการได้มาโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2552 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่าตามระเบียบของสหกรณ์โจทก์ ข้อ 20 กําหนดไว้ว่า การจ่ายเงินให้จ่ายเฉพาะเพื่อกิจการภายในขอบวัตถุประสงค์และเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับ เเต่ปรากฏว่าจําเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค 878 ฉบับ ระบุในใบสําคัญจ่ายว่าเป็นเงินทดรองจ่าย จึงไม่ใช่การจ่ายเพื่อกิจการภายในขอบวัตถุประสงค์สหกรณ์โจทก์ จึงมีสิทธิติดตามเอาเงินตามเช็คพิพาท 878 ฉบับคืนได้พิพากษาให้จําเลยที่ 1 ชําระเงินให้แก่โจทก์ จํานวน 9,642,164,453.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปีของเงินต้นจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนจำเลยอื่นๆให้รับผิดตามเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยในจำนวนต่างๆกัน ตามสัดส่วนที่ได้รับไป สําหรับจําเลย ร่วมที่ 17 และ 29 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏว่าเบิกถอนเงินตามเช็คแล้ว นําเงินไปมอบให้จำเลยที่ 4 และ 5 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ไม่ได้นําไปใช้เป็นส่วนตัวจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินให้โจทก์ ศาลพิพากษาให้ยกฟ้อง
มีรายงานว่า เวลาไล่เลี่ยกัน ศาลแพ่งพิพากษากรณีเงินของมูลนิธิมหารัตน์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และของวัดพระธรรมกาย ที่อยู่ในบัญชีธนาคารธนชาตและธนาคารกรุงไทยรวม 4 บัญชี กว่า 58 ล้านบาทนั้น เป็นเงินได้มาโดยไม่ชอบ โดยให้คืนแก่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นพร้อมดอกเบี้ย