สสจ.ชัยนาท เตือน หน้าฝนงดลุยน้ำนานๆ เสี่ยง 'โรคเมลิออยโดสิส' พบตั้งแต่ต้นปี ป่วยแล้ว 1.2 พันราย เสียชีวิต 11 ราย ย้ำไม่ใช่โรคใหม่...

วันที่ 22 มิ.ย. นพ.พูลสิทธิ์ ศีติสาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชัยนาท เปิดเผยว่า ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน หลายพื้นมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง และบางแห่งอาจเกิดน้ำท่วมได้ ซึ่งในช่วงนี้โรคที่ประชาชนควรระมัดระวังอีกโรค คือ “โรคเมลิออยโดสิส” เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง อยู่ในดินและแหล่งน้ำนิ่ง ติดต่อทางบาดแผล ดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไป รวมถึงการหายใจเอาละอองอากาศที่มีเชื้อเข้าไป ที่สำคัญมักจะพบผู้ป่วยโรคนี้มากในช่วงหน้าฝน และพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ซึ่งในประเทศไทยจะพบผู้ป่วย 2,000 - 3,000 รายต่อปี

ทางกรมควบคุมโรค ออกมาเผยถึงสถานการณ์โรคเมลิออยโดสิส ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 4 มิ.ย. 2560 มีรายงานผู้ป่วย 1,216 ราย เสียชีวิต 11 ราย ผู้ป่วยร้อยละ 49.8 อยู่ในอาชีพเกษตร กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากสุด ได้แก่ อายุ 45-54 ปี รองลงมาอายุ 55-64 ปี และอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะพบผู้ป่วยโรคเมลิออยโดสิสเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี ส่วนในปี 2559 ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยตลอดทั้งปี 3,108 ราย และเสียชีวิต 9 ราย โดยผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ (อายุ 35 ปีขึ้นไป) พบถึง 2,543 ราย คิดเป็นร้อยละ 82 ของผู้ป่วยทั้งหมด

ทั้งนี้ โรคเมลิออยโดสิส ไม่ใช่โรคใหม่ เป็นโรคที่มีมานานแล้ว ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการได้รับเชื้อ บางรายอาจมีอาการรุนแรงจนติดเชื้อในกระแสเลือดและอาจเสียชีวิตได้ โดยอาการที่พบคือ มีไข้เป็นเวลานาน มีเนื้อตาย แผล ฝี หนองที่ปอด ตับ ม้าม หรือมีการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคติดเชื้อทางเดินหายใจเรื้อรัง วัณโรค เบาหวาน โรคไต โรคเลือด มะเร็ง และภาวะบกพร่องทางภูมิคุ้มกัน เป็นต้น

...

ส่วนการป้องกันโรคมีดังนี้ หลีกเลี่ยงการลุยน้ำเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีน้ำท่วม ไม่สัมผัสกับดินและน้ำในพื้นที่ที่เกิดโรคประจำ หากมีแผลและสัมผัสดินหรือน้ำในบริเวณนั้น ต้องรีบทำความสะอาดทันที โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเสี่ยง หรือใส่รองเท้าบูท เมื่อจำเป็นต้องเดินลุย หรือย่ำน้ำเป็นเวลานาน ดื่มน้ำต้มสุก และหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์สุกๆ ดิบๆ ที่สำคัญหากมีอาการไข้เกิน 5 วัน หรือเกิดแผลอักเสบเรื้อรัง ควรจะรีบไปพบแพทย์ทันที หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422.