ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องมือปืนคดียิงสาวใหญ่เหยื่อศัลยกรรมเสียชีวิตหน้าบ้านย่านบางกะปิ เมื่อปี 50 ชี้พยานหลักฐานโจทก์อ่อน ยกประโยชน์ให้จำเลย ขณะที่ลูกชายเหยื่อเศร้า บอกเคารพคำสั่งศาล แต่อยากให้เรื่องนี้เป็นกรณีศึกษา มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกยิงตาย แต่จับคนร้ายไม่ได้ พ้อสู้ให้แม่มา 8 ปี เมื่อได้แค่นี้ก็แค่นี้

ฎีกายกฟ้องมือฆ่าสาวใหญ่ผู้เสียหายคดีฟ้องร้องสถานบริการเสริมความงาม โดยเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ส.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 และนายเจษฎา วิวัฒนานุกูล บุตรชายนางระวีวรรณ เสตะรัต ผู้ตาย ผู้เสียหายจากการศัลยกรรมใบหน้าจากสถาบันเสริมความงามแห่งหนึ่งย่านดอนเมือง ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องนายจตุรงค์ หรือตึ๋ง เบญกุล อายุ 29 ปี ชาว จ.ชลบุรี และนายประกอบ สีนาค อายุ 36 ปี ชาว จ.อุทัยธานี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 ก.ย.50 เวลาประมาณ 20.30 น. จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันใช้ปืน .25 ยิงนางระวีวรรณ เสียชีวิตหน้าบ้านพักเลขที่ 295 หมู่บ้านฉัตรแก้ว ซอย 11 ถนนแฮปปี้แลนด์ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ หลังก่อเหตุจำเลยกับพวกขี่รถ จยย.หลบหนี ต่อมาตำรวจ สน.ลาดพร้าว และกองปราบปราม จับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมอาวุธปืน และรถ จยย.ของกลาง จำเลยรับสารภาพในชั้นสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธชั้นพิจารณาของศาล คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 19 ม.ค.53 ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง ต่อมาศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ส.ค.56 พิพากษาแก้ให้จำคุกตลอดชีวิต นายจตุรงค์จำเลยที่ 1 เนื่องจากโจทก์มีบุตรชายผู้ตายเป็นประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ ส่วนนายประกอบ จำเลยที่ 2 พิพากษายืนยกฟ้อง

ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์มีนายเจษฎา บุตรชายผู้ตายโจทก์ร่วม เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ตามวัน เวลาเกิดเหตุ เมื่อโจทก์ร่วมและมารดา (ผู้ตาย) ขับรถมาถึงหน้าบ้าน โจทก์ร่วมและพี่สาวช่วยกันขนของเข้าบ้าน จากนั้นมารดา (ผู้ตาย) ได้ขับรถไปจอดที่ข้างบ้าน ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืน 4-5 นัด และเสียงมารดาร้อง เมื่อโจทก์ร่วมออกมาหน้าบ้านเห็นจำเลยที่ 1 เล็งปืนที่มารดา และใช้อีกมือปัดมือของมารดาเพื่อจะได้ยิงถนัด โจทก์ร่วมขว้างโทรศัพท์มือถือใส่จำเลยที่ 1 โดยโจทก์ร่วมยืนห่างจากจุดจำเลยที่ 1 ยิงมารดา ประมาณ 7 เมตร มีแสงสว่างเพียงพอจากไฟในบ้านและไฟรั้วบ้านที่มองเห็นจำเลยที่ 1 ได้ วันเกิดเหตุเห็นใส่เสื้อยืดสีเขียว และกางเกงยีนส์ขายาว สูงประมาณ 170 ซม.สีผิวค่อนข้างคล้ำ แต่ชั้นสอบสวนของตำรวจ โจทก์ร่วมไม่ได้ระบุรูปพรรณสัณฐานคนร้ายให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ แต่โจทก์ร่วมเพิ่งให้การภายหลัง คำให้การของโจทก์ร่วมขาดความเชื่อมโยง

...

ส่วนพยานที่อยู่ใกล้เคียงบ้านผู้ตายที่เบิกความ ขณะเกิดเหตุซักผ้าอยู่ที่หน้าบ้าน ได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง จากนั้นเห็นชายใส่เสื้อยืดสีเขียว กางเกงยีนส์ขายาว แต่เมื่อจะให้ชี้ตัวพยานไม่แน่ใจว่าจะใช่คนเดียวกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ เช่นเดียวกับตำรวจสายตรวจที่เบิกความ ขณะตรวจที่บริเวณป้อม รปภ.หมู่บ้าน ช่วงใกล้เคียงเวลาเกิดเหตุ เห็นชาย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ออกมา เห็นจำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้าย แต่ไม่ได้ระบุรูปพรรณสัณฐาน ลักษณะ หู ตา จมูก ปากให้ชัดเจนเพื่อสเกตช์ภาพคนร้าย แต่พยานให้การหลังจำเลยถูกจับกุม พยานโจทก์ยังน่าสงสัย อีกทั้งพยานหลักฐานที่อัยการโจทก์ และโจทก์ร่วมนำสืบ ยังมีข้อน่าสงสัยหลายประการ ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสอง ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษาจำคุกตลอดชีวิตนายจตุรงค์ จำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องนายจตุรงค์ จำเลยที่ 1 ส่วนนายประกอบ จำเลยที่ 2 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังนายเจษฎา บุตรชายนางระวีวรรณกล่าวว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมาเช่นนี้ก็ต้องเคารพ สำหรับสังคม ส่วนตัว อยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นกรณีศึกษา เหตุการณ์ที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิตไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จับใครไม่ได้ เมื่อถามว่า ยังหวังที่จะรื้อฟื้นคดีใหม่หรือไม่ นายเจษฎากล่าวว่า ต้องปรึกษาครอบครัวอีกครั้ง เพราะไม่รู้ว่า ถ้ารื้อฟื้นจะมีอะไรหรือไม่ ที่ผ่านมาก็เหนื่อย เพราะสู้มาตั้งแต่อายุ 20 ปี ตอนนี้ผ่านมา 8 ปีแล้ว แต่ชีวิตแม่ทำให้ต้องลุย เมื่อมาถึงได้แค่นี้ก็แค่นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ในครั้งแรกเกิดเหตุ ตำรวจกองปราบฯและนครบาลมุ่งประเด็นที่ผู้ตายเดินสายร้องเรียนเรียกค่าเสียหายจากสถานเสริมความงามแห่งหนึ่งเป็นเงินกว่า 100 ล้านบาท หลังไปทำศัลยกรรมลบรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา แต่กลับทำให้ผู้ตายเสียโฉม ดวงตาปิดไม่สนิท กล้ามเนื้อรอบดวงตาแข็ง จนผู้ตายถูกดักยิงบาดเจ็บมาแล้ว 1 ครั้ง ก่อนที่จะถูกยิงเสียชีวิต