ศาลอาญานัดพร้อมในคดีร่วมกันก่อการร้ายฯ พธม.บุกสนามบินฯเมื่อปี2551จำเลย98คน แต่อัยการเตรียมเอกสารไม่เสร็จ ศาลเลื่อนไปปีหน้า ส่วนคดีแพ่งที่ต้องชดใช้กว่า522ล้าน ล่าสุดศาลยกคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกา และออกหมายบังคับคดีแล้ว...
เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลได้นัดพร้อมคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับพวกจำนวน 98 คน ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ
สำหรับคดีนี้ เป็นกรณีที่พวกจำเลยบุกเข้าไปในสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551 โดยวันนี้ พล.ต.จำลอง นายสนธิ พร้อมพวกจำเลยรวม 92 คนเดินทางมาศาล ซึ่งมีจำเลย 6 คนไม่มาศาล เนื่องจากป่วยไม่สามารถเดินทางมาได้ ขณะที่ฝ่ายอัยการโจทก์ได้แถลงต่อศาล ยังเตรียมเอกสารพยานหลักฐานไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากมีเป็นจำนวนมาก ศาลพิเคราะห์แล้วจึงได้เลื่อนตรวจพยานหลักฐานไปอีกครั้ง ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 09.00 น.
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ กล่าวว่า ในวันนี้ศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐาน คดีก่อการร้ายกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ไปชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง ซึ่งก่อนหน้านี้ทางอัยการได้ส่งหลักฐานเป็นแผ่นซีดีให้เราตรวจสอบ 300 กว่าแผ่น ปรากฏว่าได้ซีดีไม่ครบจำนวน และไม่ตรงกับรายชื่อจำเลย จึงขอให้อัยการส่งพยานหลักฐานมาใหม่ และศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ปีหน้า
เมื่อถามถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดีแพ่ง หมายเลขดำที่ 6453/2551 ที่บริษัทการท่าอากาศยานไทยจำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับพวกที่เป็นแกนนำและแนวร่วมรวม 13 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานละเมิดและขับไล่ พร้อมเรียกค่าเสียหาย ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้ง 13 คน ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายต่อโจทก์ รวมเป็นเงินจำนวน 522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 3 ธันวาคม 2551 และศาลได้ออกใบสำคัญคดีถึงที่สุด ต่อมาทางทนายความได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกา โดยอ้างเหตุสุดวิสัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 แล้วนั้น
...
ในเรื่องนี้ นายสุวัตร กล่าวว่า ในคำร้องแรกที่เรายื่นขอขยายระยะเวลาฎีกาเหตุสุดวิสัย ตาม ป.วิแพ่ง มาตรา 23 นั้น ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้อง ซึ่งในช่วงเที่ยงของวันนี้ ตนพร้อมทีมทนายความจะมีการประชุมหารือกันถึงแนวทางการต่อสู้คดี โดยเบื้องต้นคาดว่าจะยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาล ที่ไม่รับคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกา เนื่องจากว่าตนไม่ทราบหมายนัดเพราะในวันที่มีการปิดหมายศาลที่สำนักงานของตนเป็นวันหยุดทำการ และมีฝนตกหนักพายุลมแรง รวมทั้งในวันดังกล่าวตนได้เดินทางไปพบแพทย์เพื่อตรวจหัวใจที่โรงพยาบาลปิยะเวท โดยมีหลักฐานยืนยันว่าไปพบแพทย์จริง ซึ่งเราไม่รู้ว่าศาลได้ปิดหมายไว้โดยเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงเย็นวันนี้ (20 ก.ค.) จะส่งตัวแทนเพื่อมายื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลต่อไป
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำพันธมิตรฯ เปิดเผยว่า ตนทราบคำสั่งของศาล ที่ไม่รับคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาตามที่เป็นข่าว โดยในช่วงเที่ยงของวันนี้จะนัดประชุมกับทางแกนนำทั้ง 13 คนพร้อมทีมทนายความ เพื่อหาช่องทางการอุทธรณ์คำสั่งของศาลว่ายังมีช่องทางใดอยู่บ้าง รวมถึงจะปรึกษากันในเรื่องเงินบริจาคจำนวน 7 ล้าน ที่ต้องใช้เป็นค่าธรรมเนียมศาลในการยื่นฎีกา ซึ่งมีพี่น้องประชาชนถามเข้ามาเป็นจำนวนมากว่าจะให้ช่วยเหลืออย่างไรบ้าง รวมทั้งการขอทุเลาคดีด้วย ขณะนี้ทราบว่าเจ้าหน้าที่ศาลได้ปิดหมายบังคับคดีจำเลยบางคนแล้ว แต่ในส่วนของตน ยังไม่ได้เห็นหมายดังกล่าว.