สำหรับเรื่องเล่าเมาแล้วขับ ตอน 2 นี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาไปพบกับเรื่องราวสุดสะเทือนใจของหนุ่มสุราษฎ์ฯ ผู้ถูกโชเฟอร์รถบรรทุกซดน้ำเมาเบียดชนมอเตอร์ไซค์จนทำให้เขาต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไปพร้อมๆ กับอนาคตนักฟุตบอลทีมชาติด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น...

เรื่องราวของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2540 ‘นพดล วรรณบวร’ หรือ กุ่ย ในขณะนั้นอายุได้ 17 ปี อาศัยอยู่กับแม่และน้องอีก 2 คน ที่ จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนพ่อแยกทางกับแม่ไปตั้งแต่ตอนเขาเด็กๆ นอกจากแม่ที่หาเลี้ยงครอบครัวแล้วก็มีเขาที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเลี้ยงน้อง 2 คน โดยอาศัยฝีเท้าสุดเทพเตะบอลหาเงินเลี้ยงครอบครัว ด้วยความที่รักกีฬาฟุตบอลผสมกับพรสวรรค์ส่วนตัว ทำให้โรงเรียนชายล้วนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งโด่งดังในเรื่องกีฬาฟุตบอล เรียกตัวเข้าไปเป็นหนึ่งในทีมนั้น พร้อมมอบทุนเรียนฟรีและเบี้ยเลี้ยงให้เขาด้วย

...

ลางบอกเหตุ แม่ปวดขาจนเดินแทบไม่ไหว !

ชีวิตวัยรุ่นของเขากำลังไปได้ดี แต่กลับมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อช่วงก่อนสงกรานต์ แม่ของเขาปวดขาแบบไม่มีสาเหตุ จนแทบจะเดินไม่ได้ เขาจึงต้องคอยบีบนวดให้แม่ทุกๆ วัน เกือบ 1 สัปดาห์ กระทั่งคืนวันที่ 11 เม.ย. เขาจะออกไปดูคอนเสิร์ตกับเพื่อนๆ แต่แม่ห้ามไว้ เพราะเช้าวันที่ 12 จะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปรายงานตัวเรียนต่อ อีกทั้งช่วงนี้ดวงของเขากำลังพุ่งขึ้นทุกสิ่งทุกอย่างดีไปหมด ซึ่งเขาเองก็ตกปากรับคำแม่ว่าจะไม่ไป แต่กลับคิดขึ้นมาว่าถ้าเข้ากรุงเทพฯ อีกนานกว่าจะได้กลับมาเจอเพื่อน จึงอาบน้ำแต่งตัวแอบแม่ออกไปจนได้

เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตก็เกิดขึ้น !

คืนวันนั้นหลังจากจบคอนเสิร์ตประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ กลุ่มเพื่อนของเขาก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน แต่เพื่อนที่มากับเขาดื่มเหล้าจนเมา จึงวานให้เขาขี่รถแทน กระทั่ง ก่อนจะถึงบ้านประมาณ 300 เมตร ได้มีรถบรรทุกขับส่ายไปส่ายมาอยู่ข้างหน้า กลุ่มเพื่อนได้ออกขวาแซงรถบรรทุกคันดังกล่าวไปจนหมดเหลือแค่รถเขาเพียงคันเดียว นักกีฬาหนุ่มอนาคตไกล จึงตัดสินใจออกขวาแซงรถบรรทุกเช่นกัน เมื่อบิดแซงเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อรถบรรทุกหักพวงมาลัยเพื่อเบียดรถมอเตอร์ไซค์ที่เขาขี่ทันที ทำให้ชนกันอย่างรุนแรง รถมอเตอร์ไซค์ติดไปกับรถบรรทุกลากยาวไปหลายร้อยเมตร ก่อนภาพเหตุการณ์จะค่อยๆ เลือนหายไป เนื่องจากเสียเลือดมาก

ชีวิตเปลี่ยน เมื่อต้องกลายมาเป็น ‘คนพิการ’

คุณกุ่ย เล่าให้ทีมข่าวฯ ฟังต่อว่า รู้สึกตัวอีกครั้งก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว และขาก็ไม่ได้หักด้วย แต่แผลที่ขากลับติดเชื้อหมอเกรงว่าจะลามไปใหญ่ จนต้องผ่าตัดเอาขาออก วินาทีแห่งความสูญเสียขาทั้งสองข้างทำให้เขาถึงกับร้องห่มร้องไห้ ทำใจไม่ได้ กล่าวกับแม่ว่า “ให้ตายไปเลยยังจะดีกว่า” ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขากำลังจะไปได้สวย อนาคตกำลังรุ่งโรจน์กับสิ่งที่เขารักนั่นคือ ฟุตบอล แต่วันนี้เขาจะไม่สามารถเตะบอลได้อีกตลอดชีวิต รวมถึงภาระต่างๆ ก็ต้องตกมาอยู่กับครอบครัวแทน

สถานการณ์ของบ้านเริ่มย่ำแย่ เมื่อบาดแผลผ่าตัดทำให้ต้องรักษาตัวนานถึง 6 เดือน หมดค่ารักษาพยาบาลไป 300,000 บาท ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ครอบครัวเขาไม่ได้รับเงินช่วยเหลืออะไรเลย เพราะว่าคนขับรถบรรทุกผู้พิพากษาชีวิตของเขานั้น ขับชนและหนีไป จนปัจจุบันตำรวจก็ยังจับตัวไม่ได้ เงินทุกบาททุกสตางค์แม่ของเขาจึงต้องกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาใช้จ่ายแทน

...

คุณกุ่ย เล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมันหมดแล้ว นักเรียนทุน นักกีฬาฟุตบอลทีมชาติ อนาคตดับวูบไม่เหลืออะไรเลย แถมยังต้องมาเป็นภาระของครอบครัวอีก ตอนที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในสงขลา แม่จะนั่งรถไฟจากสุราษฎ์ฯ มาหาทุกวันสลับกับน้าและน้องๆ เพราะพวกเขาไม่อยากให้อยู่คนเดียว กลัวจะคิดมาก นี่คือกำลังใจที่สำคัญทำให้รู้ว่ายังมีครอบครัวอยู่ข้างๆ เสมอ”

...

ฟื้นฟูบาดแผลทั้งกายและใจ เรียนรู้การใช้ชีวิตโดยไม่มี ‘ขา’

หลังจากที่ต้องกลายเป็นคนพิการไม่มีขา คุณกุ่ย เล่าว่า สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ ทำใจให้ได้ ซึ่งใช้เวลาเป็นปี ในการยอมรับว่าไม่มีขาอีกต่อไปแล้ว พยายามเรียนรู้การใช้ชีวิตโดยไม่มีขา แต่ก็ยังอายไม่กล้าออกจากบ้าน เพราะบางคนมาถามว่า ‘ขาไปโดนอะไรมา’ หรือบางคนมองด้วยสายตาแปลกๆ เพียงแค่นั้นก็ทำให้น้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่หยุด เหมือนถูกสะกิดบาดแผลในใจอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ไม่กล้าออกไปข้างนอก

กระทั่ง ดูโทรทัศน์และได้เห็นคนพิการเล่นกีฬา จึงจุดประกายความคิดว่า ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์เสียแล้ว ดีกว่านั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน เป็นภาระให้กับครอบครัว จากนั้น คุณกุ่ย ได้ให้แม่พาไปที่ศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับคำแนะนำว่ารัฐบาลมีทุนให้เรียน เช่น คอมพิวเตอร์ ซ่อมโทรศัพท์ เย็บหนัง ซ่อมโทรทัศน์ จึงได้ตัดสินใจขึ้นมาเรียนที่โรงเรียนอาชีวพระมหาไถ่ ด้านคอมพิวเตอร์กราฟิก

“เวลาไปเรียนตามศูนย์ต้องอยู่คนเดียว และเคยอยู่แต่กับสังคมคนปกติ แต่ตอนนี้ต้องเข้าไปอยู่ในสังคมคนพิการ ที่มีความพิการหลากหลายมาก ไปอยู่ที่นั่นอาทิตย์แรกก็ร้องไห้ทุกวันให้แม่มารับ เพราะเห็นแล้วรับไม่ได้กับการที่จะต้องอยู่กับคนพิการ แต่หลังจากนั้น 2-3 อาทิตย์ก็เริ่มปรับตัวเข้ากับเพื่อนได้ แลกเปลี่ยนทัศนคติกัน บางคนเขาก็ไม่ได้เป็นตั้งแต่เกิด เพิ่งมาเริ่มเป็นเหมือนกันก็มี เรียกได้ว่า คุยกันจนสนิท เห็นใจซึ่งกันและกัน”

นอกจากไปเรียนคอมพิวเตอร์กราฟิกแล้ว เขายังได้มีโอกาสเล่นกีฬาวีลแชร์บาสเกตบอลด้วย กระทั่งได้มีชื่อติดเป็นนักกีฬาของ จ.ชลบุรี ด้วยความสามารถของเขาทำให้คว้าแชมป์ในการแข่งกีฬามาได้ และก้าวขึ้นมาติดทีมชาติไทยได้ในที่สุด

...

เริ่มใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ เล่นกีฬา ขับรถ

ปัจจุบันนี้คุณกุ่ย ได้เป็นนักกีฬาวีลแชร์บาสเกตบอลทีมชาติไทย โดยจะต้องเข้ารับการฝึกซ้อมที่ จ.ชลบุรี เป็นประจำตั้งแต่วันจันทร์-เสาร์ วันละ 6 ชั่วโมง ซึ่งคุณกุ่ยพยายามใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทุกอย่าง ขับรถยนต์ไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง โดยรถยนต์จะต่อคันเร่งและเบรกมาไว้ข้างตัว เพื่อใช้มือในการควบคุม อีกทั้งบางครั้งกลับทำได้ดีกว่าคนปกติเสียอีก

“ตั้งแต่เล่นวีลแชร์บาสเกตบอลมา ก็ได้แชมป์อาเซียนพาราเกมส์ 4 สมัย แชมป์อื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงยังได้รางวัลนักกีฬาต่างชาติยอดเยี่ยม โคเรียโอเพ่น 2014 ด้วย”

“ผมไม่เคยคิดนะว่าวันหนึ่งผมจะกลายมาเป็นคนพิการ แต่เมื่อมันพลาดขึ้นมาแม้เราไม่ได้ทำ แต่โดนคนอื่นทำ มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้เหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างอะไรที่ไม่เกิดขึ้นกับตัวเองหรือลูกหลานตัวเองไม่รู้หรอก ความตายจริงๆ มันเป็นเรื่องใกล้ตัวนะ แต่คนเรามองเป็นเรื่องไกลตัว บางทีอุบัติเหตุแม้แต่นิดเดียวก็กลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว มันไม่คุ้มหรอก เพราะถ้ามันเกิดขึ้นมาคุณจะไม่สามารถไปเรียกร้องอะไรให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก” หนุ่มวัย 35 ปี กล่าว.

อ่านเพิ่ม