รมว.คลัง/ประธานทรัพย์สิน ใช้เอกสารชี้แจงรายละเอียด ระบุ-ทำตามพระราชประสงค์

“สมหมาย ภาษี” รมว.คลัง ร่อนเอกสารข่าวแจงข้อเท็จจริงเงิน 200 ล้านบาท เป็นเงินที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ดำเนินการตามที่สมเด็จพระบรมโอรสา ธิราชฯ มีพระราชประสงค์ขอรับเงินพระราชทาน เพื่อพระราชทานให้ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ใช้ในการดำรงชีพและดูแลครอบครัว ขณะที่พระครูพิศาลจริยาภิรมย์ เจ้าอาวาสวัดประดู่ อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี เผยท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์นิมนต์พระสงฆ์ 9 รูป ไปรับบิณฑบาตที่บ้านทุกวัน และไม่ได้ขอคำชี้แนะการปฏิบัติธรรมเพิ่ม เพราะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ดีถือพรหมวิหารสี่มาตลอด ไม่เคยลืมชาติกำเนิด ไม่เคยลืมท้องถิ่นบ้านเกิด แต่ยังเก็บตัวเงียบไม่ออกจากบ้าน ด้านคดีตำรวจออกหมายจับ “รองเต่า” และคนสนิท พล.ต.ต.โกวิทย์รวม 2 คน ข้อหาฟอกเงิน หลังเข้าไปสอบปากคำกลุ่มผู้ต้องหาในเรือนจำพบความเชื่อมโยง ขณะที่การย้ายล้างบางตำรวจสังกัด บช.ก. เครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ยังอืด เจอปัญหาไม่มีตำรวจนอกหน่วยอยากย้ายมาสังกัด คำสั่งแต่งตั้งตำรวจระดับ สว.-รอง ผบก.เลยติดขัดเป็นลูกโซ่ทั่วประเทศ

กรณีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมารเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ความทราบฝ่าละอองธุลี พระบาทแล้ว พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับทะเบียนฐานันดร ประกาศ ณ วันที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2557 หลังจากนั้นท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ตามที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าชั้น ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เดินทางกลับไปใช้ชีวิตเรียบง่ายที่ อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี

...

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. กระทรวงการคลังได้แจกจ่ายเอกสารข่าวฉบับที่ 106/2557 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2557 เรื่องการชี้แจงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กรณีการพระราชทานเงินให้ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ข้อความว่า “ตามที่มีข่าวว่าท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ได้รับเงินพระราชทานจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ชี้แจงว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ดำเนินการตามที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎ ราชกุมาร มีพระราชประสงค์ขอรับเงินพระราชทานจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อพระราชทานให้ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ใช้ในการดำรงชีพและดูแลครอบครัวต่อไปแล้ว อนึ่งขอให้สื่อมวลชนทั้งหลายโปรดงดการนำเอกสารใดๆ ซึ่งไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ลงในสื่อทุกชนิดด้วย”

ด้านความเคลื่อนไหวของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันที่ 15 ธ.ค. ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ยังคงเก็บตัวปฏิบัติธรรมอยู่ภายในบ้านที่ อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี อย่างเงียบสงบ พื้นที่ที่เคยเป็นที่พักของผู้ติดตามและคนดูแลบ้านถูกปิดเงียบ ไม่มีผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับบ้าน “สุวะดี” เดินทางเข้าออก นอกจากพระสงฆ์จากวัดประดู่ อ.วัดเพลง จำนวน 9 รูป ที่นั่งโดยสารรถตู้เข้าไปรับบิณฑบาตภายในบ้านเท่านั้น ทั้งนี้ในช่วงเช้าวันเดียวกัน ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ได้ทำบุญตักบาตรและถวายภัตตาหารเช้าเพื่อความเป็นสิริมงคลพร้อมกับนายอภิรุธและนางวันทนีย์ สุวะดี บิดามารดา บริเวณลานสนามหญ้าหน้าบ้าน โดยมีชาวบ้านที่สนิทและคนใกล้ชิดครอบครัว “สุวะดี” เดินทางมาร่วมทำบุญด้วย อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในพื้นที่ต่างให้ข้อมูลว่า หลังจากที่ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์เดินทางกลับบ้านยังไม่เคยเห็นออกมาจากบ้านเลย

ขณะที่พระครูพิศาลจริยาภิรมย์ เจ้าอาวาสวัดประดู่ อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี เปิดเผยว่า ครอบครัวท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์มานิมนต์พระจากวัดประดู่จำนวน 9 รูปไปรับบิณฑบาตตอนเช้าภายในบ้านเป็นประจำทุกวัน เหมือนทุกครั้งที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้าน ไม่ได้ขอคำชี้แนะในการปฏิบัติธรรมอะไรเพิ่มเติม เพราะปกติท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์เป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ดี ถือพรหมวิหารสี่มาโดยตลอด ท่านไม่เคยลืมชาติกำเนิด ไม่เคยลืมท้องถิ่นบ้านเกิด ทุกครั้งที่ท่านมีโอกาสกลับบ้านที่ อ.วัดเพลง ท่านจะมาทำนุบำรุงท้องถิ่นให้เจริญอยู่เสมอ ที่ท่านผูกพันกับวัดประดู่เพราะที่นี่อยู่ในบ้านเกิดของท่าน กระดูกคุณย่าของท่านผู้หญิงก็ฝังอยู่ที่วัดนี้

เจ้าอาวาสวัดประดู่เผยด้วยว่า ส่วนกรณีมีสื่อหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งไปเขียนว่า วัดประดู่ได้รับการแต่งตั้งเป็นวัดพระอารามหลวงเพราะได้รับการช่วย เหลือวิ่งเต้นจากนายอภิรุธ สุวะดี ขอชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง เรื่องนี้ไม่เคยเกี่ยวข้องกับนายอภิรุธเลย การที่วัดประดู่ได้รับพระราชทานยกฐานะเป็นวัดพระอารามหลวง เนื่องจากเป็นวัดเก่าแก่อายุ 100 ปีมีประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่5 รวมทั้งสมเด็จพระสังฆราชเคยเสด็จฯมาประทับส่วนพระองค์ที่วัดนี้ สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติจึงเสนอชื่อวัดให้ได้รับการพิจารณายกฐานะเป็นวัดพระอารามหลวง เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองราชย์ครบ 60 ปี ไม่เข้าใจว่าผู้ที่เสนอข่าว ดังกล่าวมีเจตนาอะไร

ส่วนความเคลื่อนไหวเรื่องการดำเนินคดีที่ บช.น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานสอบสวนสำนวนคดีการฟอกเงินเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ขออนุมัติหมายจับ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รอง ผกก.6 บก.ป.หรือรองเต่า ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2264/2557 ลงวันที่ 15 ธ.ค.2557 และขออนุมัติหมายจับนายทรงพล ทองสิน ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2263/2557 ลงวันที่ 14 ธ.ค.2557 ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน หลังจากพนักงานสอบสวนคดีฟอกเงินนำโดย พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ รอง ผบก.น.2 พร้อมคณะพนักงานสอบสวน บก.ป.เข้าไปสอบปากคำ พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีต ผบก.รน. และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. กรณีการรับส่วยน้ำมันเถื่อนและฟอกเงิน พบว่า พ.ต.ท.ทรงรักษ์มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์และการกระทำความผิดให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และไม่ยอมเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก และขาดราชการครบกำหนด 15 วันจึงถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน ส่วนนายทรงพลเป็นลูกน้องคนสนิทดูแลบัญชีการเงินให้ พล.ต.ต.โกวิทย์

...

ส่วนกรณีสำนวนคดีพฤติกรรมแอบอ้างเบื้องสูงในนามคณะบุคคลน้ำทิพย์ เลขที่ 2/3 ม.9 ถนนทวีวัฒนา แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กทม.ประมูลขายน้ำพริกประเภทต่างๆ มีนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาร่วมกับ น.ส.ปาลิดา หลักเฉลิมพร อายุ 25 ปี แอบอ้างเบื้องสูงประมูลเครื่องเสวยในนามคณะบุคคลปณสุ ขายผักสดและผักต้มส่งวังอัมพรและวังศุโขทัย มีรายงานระบุว่า พล.ต.ต.พงษ์พันธุ์ วรรณภักตร์ ผบก.น.1 สั่งการให้คณะพนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำนางสุดาทิพย์ว่า มีผู้เกี่ยวข้องอื่นที่มีลักษณะแอบอ้างกระทำความผิดตามมาตรา 112 อีกหรือไม่ ส่วนการออกหมายเรียก น.ส.ปาลิดามาสอบปากคำเพิ่มเติม ขณะนี้ออกหมายเรียกไปแล้ว จากการตรวจสอบประวัติของ น.ส.ปาลิดาทราบว่า เป็นลูกสะใภ้ของนางสุดาทิพย์ ทั้งนี้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น.สั่งการให้พนักงานสอบสวนเร่งสรุปสำนวนคดีความผิดตามมาตรา 112 พื้นที่ สน.สามเสน และ สน.ลาดพร้าว ให้เสร็จสิ้นภายในอาทิตย์นี้ เพื่อส่งสำนวนให้คณะพนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พิจารณาต่อไป

ที่ สตช. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.กล่าวว่า การสอบสวนทางวินัยคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.พร้อมพวก จเรตำรวจจะสรุปมาถึงตนแต่ถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับ แต่ขอยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน เป็นไปตามระเบียบบังคับและกฎหมาย ไม่มีการใส่ร้ายป้ายสีหรือสร้างหลักฐานอันเป็นเท็จ ถ้ามีมูลและมีความผิดตามข้อกล่าวหาต้องดำเนินการตามขั้นตอน อาจจะปลดออก ให้ออก หรือไล่ออกก็แล้วแต่ อยู่ที่ผู้รับผิดชอบจะเสนอขึ้นมาว่าอยู่ขั้นใด ส่วนการดำเนินการถอดยศต้องดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน ขณะนี้อยู่ในขั้นการสอบสวน แต่ขณะที่สืบสวนอาจมีข่าวว่า มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง 20-30 คน แต่หลังสอบสวนบางคนอาจจะไม่ผิดก็คือไม่ผิด

...

ผบ.ตร.กล่าวด้วยว่า ตำแหน่ง ผบช.ก.ที่ว่างยังไงก็ต้องแต่งตั้ง ที่ส่ง พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ไปรักษาการ เพราะเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทำงานเป็นที่ประจักษ์ว่า ทำงานได้ดี แต่ต้องยอมรับว่างานในหน้าที่มีเยอะรับผิดชอบหลายด้าน เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาตนจะต้องตั้งผู้มาทำหน้าที่ ผบช.ก. ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนตัดสินใจว่า จะมอบหมายใคร ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเข้าไปหารือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฐานะผู้รับผิดชอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คงไม่ตัดสินใจเพียงลำพัง ทุกคนที่มีความรู้ความสามารถอยู่ในข่ายเป็นได้ทุกคน พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รอง ผบช.ก.ก็เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ หรือแม้แต่รอง ผบช.ก.คนอื่นๆก็สามารถเป็นได้ วงรอบการแต่งตั้งระดับนายพลผ่านไปแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างแต่งตั้งระดับรอง ผบก.ถึง สว. ดังนั้น เมื่อการแต่งตั้งระดับนี้เสร็จอาจดำเนินการต่อ หรืออาจจะแต่งตั้งใครไปทำหน้าที่รักษาการ ผบช.ก.แทน พล.ต.ท.ประวุฒิ เพื่อแบ่งเบาหน้าที่

ส่วนการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับ สว.-รอง ผบก.ใน บช.ก. มีรายงานข่าวจากกองบังคับการปราบปรามระบุว่า การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ถือเป็นการล้างบางครั้งใหญ่ที่สุดใน บช.ก. มีนายตำรวจระดับ สว.-รอง ผบก.ทุก บก.ในสังกัด จะถูกเสนอชื่อย้ายออกนอกหน่วยทั้งสิ้น 202 นาย ถือว่าเป็นการย้ายครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา นายตำรวจที่ถูกเสนอชื่อทั้งหมดถูกมองว่าเป็นนายตำรวจที่อยู่ในเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ทั้งหมดจะถูกเสนอชื่อย้ายออกไปยังกองบัญชาการต่างๆทั่วประเทศ บก.ที่มีผู้ถูกเสนอชื่อย้ายออกนอกหน่วยมากที่สุดคือ ตำรวจสังกัดกองบังคับการปราบปราม ถูกเสนอชื่อออกนอกหน่วยมากถึง 50-60 นาย หรือคิดเป็น 25% ของตำรวจทั้งหมด นอกจากนั้นเป็นสังกัดกองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และกองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) เป็นต้น

...

นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า ผู้ที่ถูกโยกย้ายส่วนใหญ่ครั้งนี้ถูกกำหนดให้ย้ายไปสังกัดพื้นที่ห่างไกลความเจริญตามภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ เนื่องจากผู้บังคับบัญชาพิจารณาว่า เพื่อเป็นการลงโทษจากการกระทำความผิดร่วมกับเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ แม้จะไม่ได้ถูกดำเนินคดีด้วย แต่การโยกย้ายเริ่มประสบปัญหาเนื่องจากจำนวนตำรวจที่ถูกย้ายออกจาก บช.ก. มีจำนวนมากกว่าที่สมัครใจย้ายมาอยู่ในสังกัด และตำรวจในพื้นที่ต่างจังหวัดส่วนใหญ่เป็นคนที่มีพื้นเพอยู่ในจังหวัดนั้นๆหรือใกล้เคียง จึงไม่ต้องการเข้ามาทำงานใน บช.ก. จากปัญหาดังกล่าวจึงทำให้โผแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ล่าช้า เพราะติดขัดไปหมดทุกกองบัญชาการทั่วประเทศ

มีรายงานด้วยว่า ในส่วนของ บก.ป. รองผู้บังคับการที่ถูกโยกย้ายออกนอกหน่วย เช่น พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ พ.ต.อ.จักรกฤช เอี่ยมแจ้งพันธุ์ พ.ต.อ.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ที่เหลือคือ พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง และ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป.ยังคงอยู่ที่เดิม ทำให้ใน บก.ป.มีตำแหน่ง รอง ผบก.ป.ว่างถึง 7 ตำแหน่ง ส่วนผู้กำกับการทุกตำแหน่งจะถูกโยกย้ายออกนอกหน่วยทั้งหมด ยกเว้นตำแหน่งผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองปราบปราม (ผกก.ปพ.) ยังคงเป็น พ.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผกก.ปพ.รักษาการ ผกก.ปพ.เหมือนเดิม ส่วนที่จะถูกโยกย้ายประกอบด้วย พ.ต.อ.นิรันดร์ นามสุวรรณ ผกก.2 บก.ป. พ.ต.อ.วรวุฒิ คุณเกษม ผกก.3 บก.ป. พ.ต.อ.ปิยะ เจริญสุข ผกก.4 บก.ป. พ.ต.อ.วัชรพล ทองล้วน ผกก.5 บก.ป. และ พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผกก.6 บก.ป.

ส่วนผู้ที่คาดว่าจะย้ายมาเป็น รอง ผบก.ป.ประกอบด้วย พ.ต.อ.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รอง ผบก.สส.ภ.9 พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผบก.สปพ. พ.ต.อ.ประเสริฐ พัฒนาดี รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.สมภพ พงษ์ฤกษ์ รอง ผบก.สส.ภ.7 ส่วนใหญ่เคยสังกัด บก.ป.มาแล้วทั้งสิ้น ส่วน กก.1 บก.ป. พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.5 บก.ทท.รักษาการแทน ผกก.1 บก.ป.จะได้นั่งเก้าอี้เต็มตัวแทน พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1 บก.ป.ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย ส่วนนายตำรวจที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ผกก.ใน บก.ป. ส่วนใหญ่เป็นเด็กในสาย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตรอง ผบ.ตร.ประกอบด้วย พ.ต.อ.สันติ ชัยนิรามัย ผกก.สส.ภ.จ.ภูเก็ต พ.ต.อ.พลฑิต ไชยรส ผกก.สส.ภ.จ.นครนายก พ.ต.อ.โสภณ สารพัฒน์ ผกก.สภ.ทุ่งลุง จ.สงขลา พ.ต.อ.สุรพงษ์ ธรรมพิทักษ์ ผกก.สภ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ และ พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.8 บก.รน. นอกจากนี้ ยังมีชื่อ พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.ภ.3 เป็นตัวสอดแทรก