ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จับชาวบ้านฝ่าฝืนเผาในที่โล่งกันหนัก ซ้ำบางรายรับจ้างมาเผา จับได้พร้อมไฟแช็ก สร้างฝุ่น PM 2.5 ลอยคลุ้ง - ลุยลงพื้นที่ปราบปรามก่อนสถานการณ์บานปลาย

วันที่ 5 เมษายน 2568 มีรายงานว่า สืบเนื่องจาก จ.พิจิตร เผชิญปัญหาหนัก หลังพบการลักลอบเผาในที่โล่งอย่างต่อเนื่อง แม้มีประกาศห้ามเด็ดขาดเพื่อควบคุมปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เป็นภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กก.4 บก.ปทส.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส. และ พ.ต.อ.ณัทกฤช น้อยคำปัน ผกก.4 บก.ปทส. จึงเร่งลงพื้นที่ปราบปรามและตรวจสอบอย่างเข้มข้น

ตรวจพบเคสแรก "ริมถนน เสี่ยงอุบัติเหตุ-ควันคลุ้งการจราจร" เจ้าหน้าที่ กก.4 บก.ปทส. นำโดย พ.ต.ท.หญิง ภิษัชกร เลิศวิลัย สว.(สอบสวน) พร้อมกำลัง ออกตรวจพื้นที่ริมถนนโพทะเล–บางลาย หมู่ 3 ต.ท้ายน้ำ อ.โพทะเล จ.พิจิตร พบกลุ่มควันจำนวนมากลอยจากพื้นที่การเกษตร ห่างจากถนนไม่เกิน 500 เมตร ซึ่งเป็นระยะอันตรายต่อผู้ขับขี่

...

เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและพบ นายสุชาติ ผู้กระทำผิด ยอมรับว่าเป็นผู้จุดไฟเผาตอซังข้าวจริง เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหา “เผาหรือกระทำด้วยประการใดให้เกิดควันในระยะที่กระทบต่อความปลอดภัยของการจราจร” ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 130 โดยดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย

เคสต่อมา เจ้าหน้าที่ชุดเดียวกันร่วมกับฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยอำเภอบางมูลนาก ได้ลงพื้นที่ ต.หอไกร อ.บางมูลนาก หลังพบกลุ่มควันหนาทึบพวยพุ่งจากพื้นที่นาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้าตรวจสอบพบว่าเป็นการเผาตอซังข้าวในพื้นที่กว่า 50 ไร่ ที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมแนวต้นไม้ ถนน และใกล้แหล่งชุมชน

และน่าเป็นห่วงยิ่งขึ้นเมื่อพบว่า ผู้ก่อเหตุไม่ใช่ชาวนาเจ้าของพื้นที่ แต่เป็นบุคคลภายนอกที่รับจ้างมาจุดไฟโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการกระทำที่มีเป้าหมายชัดเจนและรู้แก่ใจว่าผิดกฎหมาย กลุ่มควันหนาทึบจากเหตุการณ์นี้กระจายไกลออกไปหลายกิโลเมตร ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนทั้งในพื้นที่อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร และพื้นที่ใกล้เคียงอย่างชัดเจน

เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว นายกฤษณะ ขณะกำลังจุดไฟโดยใช้ไฟแช็ก พร้อมแจ้งข้อหา “กระทำการอันอาจก่อให้เกิดสาธารณภัย” ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบแนวโน้มการลักลอบเผาในช่วงเวลากลางคืนมากขึ้น โดยผู้กระทำมักเลือกเวลามืดค่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ หลายครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าถึงพื้นที่เกิดเหตุ พบว่าผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมรีบหลบหนี บางรายถึงขั้นวิ่งหนีหายไปในความมืด ทิ้งไฟที่กำลังลุกไหม้ไว้เบื้องหลัง พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนชัดว่า ผู้กระทำรู้ว่าการกระทำของตนผิดกฎหมาย แต่ยังคงฝ่าฝืนด้วยความตั้งใจ นับเป็นความท้าทายสำคัญในการควบคุมสถานการณ์ฝุ่นพิษที่ไม่ควรมองข้าม

ด้าน พ.ต.อ.ณัทกฤช น้อยคำปัน ผกก.4 บก.ปทส. กล่าวว่า "การเผาในที่โล่งทุกกรณีสร้างผลกระทบทั้งทางอากาศ การจราจร และสุขภาพประชาชน เราจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพื่อไม่ให้คนกลุ่มเล็กสร้างความเดือดร้อนให้กับคนทั้งจังหวัด ใครฝ่าฝืนกฎหมายจะถูกดำเนินคดีทันที"

ขอฝากเตือนประชาชน จึงขอฝากถึงพี่น้องประชาชนว่า ถึงแม้จะมีเพียงคนไม่กี่คนที่จุดไฟเผาโดยไม่คิดถึงส่วนรวม แต่นั่นอาจก่อผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งฝุ่นควัน สารพิษ โรคระบบทางเดินหายใจ และอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งไม่เพียงแต่เสี่ยงต่อชีวิตของตนเองและผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังมีความผิดตามกฎหมายที่มีอัตราโทษสูง เช่น การก่อให้เกิดสาธารณภัย หรือการกระทำที่ทำให้เกิดอันตรายต่อการจราจร การแก้ไขปัญหา PM 2.5 จึงไม่ใช่เรื่องของเจ้าหน้าที่เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม

...

หากพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แจ้งสายด่วน บก.ปทส. 1136 ช่องทางการติดต่อ พันตำรวจโทหญิง ภิษัชกร เลิศวิลัย สว.(สอบสวน) กก.4 บก.ปทส. โทรศัพท์ 0931313946 พิทักษ์ผืนป่า รักษาสิ่งแวดล้อม ถนอมชีวิตสัตว์