ข่าวดาราสาวมีชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางถ่ายทอดความลักชัวรีของตนและครอบครัว ตั้งแต่ยังโสดจนกระทั่งแต่งงาน ทั้งที่ความจริง มีการกู้หนี้ยืมสิน ติดค้างค่าเช่าที่พักอาศัย มูลค่าทั้งที่ปรากฏและไม่ปรากฏน่าจะมากกว่า 100 ล้านบาท
เป็นอีก 1 ตัวอย่างสะท้อนความฉาบฉวยของสังคมไทย ที่เกิดจากการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในทางสร้างสรรค์น้อย สร้างค่านิยมการมองคนที่เปลือก ตีค่าความสุขจากการครอบครองวัตถุ ซึ่งบางครั้งไม่จำเป็นและเกินฐานะ
ผู้ที่จะชี้ทางสว่าง เรียกสติและแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ดีที่สุดผู้หนึ่ง หนีไม่พ้น วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ผู้ปรารถนาเรียกตัวเองว่าเป็นนักวางแผนการเงิน ผู้หวังดีต่อเยาวชนไทยและอยากให้คนไทยแก่แล้วไม่จน
คุณวิวรรณเคยเขียนเรื่อง “เตือนสติ” ไว้เมื่อปี 2556 ซึ่งดูเหมือนว่าความต้องการ “ดูดี” และแนวคิดแบบ “วัตถุนิยม” ซึ่งเชื่อว่าวัตถุหรือความสุขทางกายเป็นสิ่งมีค่าสูงสุดในชีวิต ได้เริ่มปะทุขึ้นพร้อมกับการตลาดยุคโซเชียลมีเดียใหม่ที่พยายามยัดเยียด “แบบแผน” ที่เป็นอุดมคติให้กับผู้บริโภคตั้งแต่ยังเยาว์วัย ตั้งแต่สินค้ารุ่นใหม่ๆ หรือบริการใหม่ๆตลอดเวลา
สิ่งที่ตามมาคือ “ช่องว่าง” ที่เพิ่มขึ้นระหว่างคนมีทรัพย์ที่จะดูแลหน้าตา ผิวพรรณ การแต่งกาย หาซื้อเครื่องใช้ราคาแพงที่เป็นที่นิยม กับคนที่ไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะทำในสิ่งต่างๆเหล่านี้ เวลาพบกันแทนที่จะถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบ กลายเป็นถามถึงความสวยงาม (และความหล่อ) บางคนที่ไม่สามารถไขว่คว้าได้ ก็อาจจะหาวิธีให้ได้มา ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง อาจจะไม่ถูกศีลธรรม ไปจนถึงไม่ถูกกฎหมาย
13 ปีผ่านไป กระแสบริโภคนิยมผ่านการตลาดแบบสุดขั้ว ยิ่งฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย ลามเลียไปถึงบุคคลที่อยู่ในอาชีพที่เรียกได้ว่าเสกเงิน เสกทองได้ในเวลาอันแสนรวดเร็ว จากความมีชื่อเสียงผ่านการใช้โซเชียลมีเดีย ยิ่งหาเงินได้เยอะ ก็ยิ่งหลงอยู่ในวังวนแห่งการให้ค่าวัตถุ
...
“คนเราต้องมีสติในการใช้ชีวิต สติเปรียบเหมือนหางเสือเรือ ที่จะช่วยกำหนดทิศทาง ความต้องการวัตถุที่เกินฐานะ เพราะต้องการเลียนแบบคนดัง จะไม่เกิดขึ้น ถ้ามีสติ ตรงนี้ต้องฝากไปยังพ่อแม่ ที่ควรปลูกฝังบุตรหลาน คนที่ควรชื่นชมคือคนเก่ง มีความสามารถ มีศีลธรรม ไม่ใช่คนรวย คนใช้ของแพง ต้องไม่ชื่นชมคนที่วัตถุ ที่สำคัญต้องไม่ตีค่าวัตถุว่าเป็นความสุข”
อย่างไรก็ตาม คุณวิวรรณ ไม่ได้เห็นด้วยกับกระแส Low Buy No Buy (ซื้อน้อยหรือไม่ซื้อเลย) ที่กำลังเกิดขึ้น เพราะอะไรที่เป็นกระแส ไม่ใช่เรื่องถาวร ในภาวะเศรษฐกิจที่ต้องการการหมุนเวียน การจับจ่ายใช้สอยยังเป็นเรื่องจำเป็น เพียงแต่ต้องเป็นการบริโภคโดยพอดี “คนมีเงินอยากซื้อแบรนด์เนม รถหรู นั่งเฟิสต์คลาส ย่อมทำได้เพราะไม่เดือดร้อนใคร แต่คนรายได้ทั่วไป ต้องบริโภคแบบสมฐานะ ไม่เกินตัว ไม่ใช้เกินกว่าที่มี และควรออมก่อนใช้”
“กิเลสไม่ใช่เรื่องไม่ดี เพราะกิเลสทำให้เกิดการขับเคลื่อน เกิดเป้าหมาย หากเกิดกิเลสในเรื่องใหญ่ๆ เช่น อยากมีบ้าน การกู้หนี้ยืมสินเป็นเรื่องจำเป็น เพราะกว่าจะเก็บเงินซื้อบ้านได้ ราคาอาจสูงเกินไป แต่การยืมเงินซื้อรองเท้า กระเป๋า หรือไปเที่ยว ไม่ใช่สิ่งที่จะคุ้มค่า เพราะการกู้ยืมมีดอกเบี้ย เวลามีกิเลสต่อสินค้าหรูหรา ต้องคิดให้ถี่ถ้วนอย่าผลีผลาม กลับไปนอนคิดสักคืน อาจเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าเราอยากได้จริงหรือไม่ ที่สำคัญต้องไม่เกินตัว”
ในมุมของผู้มีกำลังทรัพย์และอยากเผื่อแผ่ ต้องถามตัวเองก่อนว่า ต้องการเงินหรือของที่ให้ยืมคืนหรือไม่ ถ้าต้องการได้คืน คือการให้ยืมไม่ใช่ให้เลย จึงต้องประเมินความสามารถลูกหนี้ ว่าเขามีโอกาสจะคืนหนี้ไหม หลายคนตั้งใจคืนหนี้ แต่ไม่มีเงินสักที
“ความเมตตา มีน้ำใจเป็นปกติของสังคมไทย แต่การให้ต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง ให้ลำบากทั้งร่างกายและจิตใจ หากอยากช่วยจริงๆ อาจให้เท่าที่จะรับความเสี่ยงได้ เช่น เขาขอยืม 50,000 บาท ให้ 5,000 บาท ถือว่าช่วย”
ในยุคที่คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ เสพไลฟ์สไตล์คนดัง คนรวย เมื่อรู้สึกว่าเยอะไป เป็นการสร้างอิทธิพลและค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง ให้ลองเปิดตัวไปสู่โลกใหม่ๆ สื่อสังคมออนไลน์ยังมีเรื่องดีๆอยู่มาก มีกลุ่มที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับวัตถุมากเกินไป กลุ่มกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้เงิน กลุ่มที่ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ เพราะไม่มีใครเพอร์เฟกต์ 100%
สุดท้ายกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางความคิด นักขาย นักการตลาด ควรประกอบวิชาชีพอย่างมีจรรยาบรรณ “อย่ายัดเยียดและปลูกฝังค่านิยมบริโภคเกินขนาดให้กับเยาวชน และหันมาส่งเสริมการให้ค่าคนเก่ง คนดี มีศีลธรรม มากกว่าคนร่ำรวย โชว์แบรนด์เนม โชว์ไลฟ์สไตล์ฟุ่มเฟือย”.
ศุภิกา ยิ้มละมัย
คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม