ความท้าทายการเปลี่ยนแปลง “ประเทศสู่ศูนย์กลางทางการเงินของโลก” เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดอีกนับแต่ “ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ” เปิดโรดแม็ปนำเสนอแนะ ครม.ใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว
แต่ที่จริงเรื่องนี้ “ไทย” เคยฝันจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาคมาแต่ก่อนปี 2540 เพียงแต่ไปไม่ถึงเป้าหมาย “เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจเสียก่อนทุกอย่างจึงสะดุดลง” เพราะถ้าดูปี 2531 เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราร้อยละ 13.2 ใกล้เคียงประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่ขยายตัวรวดเร็วอย่างเกาหลีใต้ ร้อยละ 11.3 สิงคโปร์ ร้อยละ 11.0
แม้แต่ปี 2532 เศรษฐกิจไทยขยายร้อยละ 12.2 เป็นอัตราสูงเมื่อเทียบหลายประเทศ สิ่งน่าสังเกตกลุ่ม Asian NIEs มีแนวโน้มลดลงอย่างฮ่องกง เกาหลีใต้ จากร้อยละ 7.3 และ 11.3 ในปี 2531 เป็นร้อยละ 2.5 และ 6.7 ในปี 2532
ทำให้ต้นทศวรรษ 2530 “ไทย” ถูกมองเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่รายต่อไป “ในเอเชีย” ทั้งการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ เปิดเสรีทางการเงินการลงทุน เปิดรับการลงทุนจากต่างชาติเข้ามา แต่ปลายทศวรรษเจอฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ หนี้เสีย การส่งออกก็ถดถอยนำมาสู่วิกฤตการณ์เงินตราและวิกฤตการณ์เศรษฐกิจการเงินในที่สุด
เช่นนี้หากเรียนรู้จากบทเรียนความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายการเงินก่อนวิกฤติปี 2540 ได้ดี เพื่อปิดจุดอ่อนให้ได้เป้าหมายการก้าวสู่ศูนย์กลางทางการเงินโลกจึงเป็นสิ่งไม่ไกลเกินฝัน รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผอ.ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย บอกว่า
ถ้าถอดบทเรียนวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนั้นจะเห็นว่า “การพึ่งพิงเงินทุนต่างประเทศสูง” ไม่ใช่ปัญหาหากบริหารจัดการดี “ไม่ให้มีสัดส่วนเงินกู้ระยะสั้นเกินไป” ถ้าดูเงินทุนไหลเข้าก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ในช่วง 2-3 ปี มีสัดส่วนการลงทุนโดยตรงน้อย และการลงทุนเข้ามาถือหุ้นร่วมกิจการก็น้อยเมื่อเทียบกับเงินไหลเข้าในรูปของเงินกู้
...
สิ่งสำคัญกว่านั้นเงินกู้กว่าครึ่ง “เป็นเงินกู้ระยะสั้น” ทางด้านสถาบันการเงินมีระบบปล่อยสินเชื่อที่มีมาตรฐาน และโปร่งใสไม่ดีพอ “ผู้กำหนดนโยบายการเงินไม่ยืดหยุ่น” ยึดมั่นต่อการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่เกินไป ทั้งที่ระบบนี้ต้องปรับตั้งแต่เห็นสัญญาณการขาดดุลบัญชีสะพัดมหาศาล ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากเกินไป
เช่นเดียวกับผู้กำหนดนโยบายการเงินใช้มาตรการการเงินเข้มงวดเกินไปในภาวะเศรษฐกิจโตต่ำ เงินเฟ้อต่ำ ถือเป็นการขาดการยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นก่อนวิกฤติปี 2540
ถัดมา “การเปิดเสรีการเงิน” ผ่านเสรีวิเทศธนกิจเม็ดเงินไหลเข้าระบบจนขยายสินเชื่อในอัตราเร่ง คุณภาพสินเชื่อลดลง อัตราส่วนระหว่างปล่อยสินเชื่อต่อเงินฝากสูงขึ้นจากต่ำกว่า 1 ในปี 2533 สูงขึ้นจนระดับ 1.35 เมื่อสิ้นไตรมาส 2 ปี 2538 แล้วในส่วน “ช่องว่างระดับการออม และระดับการลงทุนเกินตัว” ต้องอาศัยกู้เงินต่างประเทศ
ไม่เท่านั้น “นโยบายการเงินเข้มงวด” ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่มีการเติบโตร้อนแรงการลงทุนส่วนต่างดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศผลักดันให้กู้ยืมเงินต่างชาติมากและดึงเงินทุนไหลเข้าในรูปเงินกู้ระยะสั้น
ขณะที่ “สภาพคล่องผ่อนคลายการเงินขยายตัวสูง” เกิดการลงทุน เก็งกำไร ทำให้ที่ดิน หลักทรัพย์สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานจนเกิดฟองสบู่ “แถมขาดเสถียรภาพทางการเมือง” เปลี่ยนรัฐบาลหลังรัฐประหารปี 2534
นอกจากนี้ “เงินบาทไทยแข็งค่าเกิน” เป็นเป้าหมายนักเก็งกำไรในการโจมตีค่าเงินรุนแรงที่สุดในเดือน พ.ค.2540 “การปกป้องค่าเงินบาทผิดพลาด” ไม่เท่าทันต่อเกมการเงินโลก ทำให้ทุนสำรองสุทธิลดลงจาก 24.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯเป็น 2.5 พันล้านดอลลาร์
ในที่สุดต้องถูกตลาดการเงินกดดันให้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท
ต่อมา ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ เมื่อปล่อยการเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรี ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่อาจใช้นโยบายการเงินจำกัดอุปสงค์รวมได้ เมื่อดอกเบี้ยสูงก็ทำให้ผู้ลงทุนไปกู้เงินต่างประเทศที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า
อีกทั้ง “เศรษฐกิจขาดดุลบัญชีเดินสะพัด” ปลายทศวรรษ 2530 ส่งผลความเชื่อมั่นระบบเศรษฐกิจ “การเติบโตทางเศรษฐกิจ” มีพื้นฐานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอ่อนแม้ปัจจุบันก็ไม่ได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกลุ่มประเทศเอเชีย
สำหรับโอกาส “ไทยก้าวสู่ศูนย์กลางทางการเงินของโลก” อาจเกิดขึ้นได้ในหนึ่งทศวรรษข้างหน้าพร้อมเดินหน้าสู่ประเทศรายได้สูง แต่ต้องมุ่งมั่นจริงจังต่อเนื่อง “ดำเนินนโยบาย” เริ่มต้นผลักดันเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคบริการการเงินเพิ่มขึ้นอย่างมียุทธศาสตร์มีแนวทางพัฒนาเงินบาทให้เป็นเงินสกุลหลักในภูมิภาคเอเชีย
ด้วยการ “ปฏิรูปปรับเปลี่ยนระบบกฎหมาย” เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน และการลงทุน เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน และภาคการลงทุน กระจายศูนย์การเงินแบบดิจิทัล เตรียมพัฒนาบุคลากรทักษะขั้นสูง และยกระดับพัฒนาตลาดการเงินตลาดลงทุนสู่มาตรฐานประเทศพัฒนาแล้ว
เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และความไว้วางใจในการทำธุรกรรมทางการเงิน และการลงทุนด้วยมาตรฐานธรรมาภิบาลสากล รวมถึงระบบการเงิน และการลงทุนที่โปร่งใสจะสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั่วโลกได้
ส่วน “ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจการเงิน” จะเป็น โครงสร้างพื้นฐานทางกฎระเบียบ พัฒนาระบบนิเวศต่อการประกอบธุรกิจทางการเงิน และการลงทุนใน Financial Hub จะช่วยสนับสนุนให้ไทยพัฒนาสู่ศูนย์กลางทางการเงินอนาคตได้ อันมีข้อได้เปรียบในส่วนของค่าใช้จ่ายทางด้านสังหาริมทรัพย์ ค่าเช่า ค่าครองชีพถูก
...
เมื่อเทียบศูนย์กลางทางการเงินโลกนิวยอร์ก ลอนดอน ลอสแอนเจลิส โตเกียว ฮ่องกง สิงคโปร์ ดูไบ ทั้งลงทุนเพิ่มระบบโทรคมนาคม เทคโนโลยี การชำระเงิน ธรรมาภิบาล ให้เท่ามาตรฐานศูนย์กลางการเงินระดับโลก
เบื้องต้นเฉพาะหน้า “รัฐบาลไทย” ต้องจัดการกับปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงทางไซเบอร์ อันมีฐานปฏิบัติการตามแนวชายแดนทั้งเมียนมา กัมพูชา ลาว เพราะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้สร้างความเสียหายไม่ต่ำกว่า 7-8 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ต้องแก้กฎหมายให้สถาบันการเงิน และบริษัทบริการโทรคมนาคมร่วมรับผิดชอบความเสียหาย
เพื่อทำให้สถาบันการเงิน และบริษัทบริการโทรคมนาคมลงทุนพัฒนาระบบความมั่นคงทางไซเบอร์ให้ดีขึ้น สิ่งนี้เป็นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของระบบการเงิน การทำธุรกรรมทางการเงิน และการลงทุน หากไม่มีความมั่นใจต่อระบบความมั่นคงปลอดภัยย่อมไม่สามารถเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกได้
อย่าคิดว่า “ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกไม่ได้” ขอเพียงแต่รัฐบาลมีความตั้งใจจริง “ดำเนินนโยบายต่อเนื่อง” ด้วยความพยายามทุกอย่างย่อมสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ.
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม