เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว (5 มกราคม) ผมก็เหมือนพี่น้องชาวไทยอีกหลายสิบล้านคนทั่วประเทศ ที่นั่งอยู่หน้าจอไทยรัฐ ทีวี ช่อง 32 เพื่อเอาใจช่วยทีมฟุตบอลช้างศึกไทย ในการชิงชนะเลิศฟุตบอลอาเซียน 2024 กับเวียดนาม

เราไปแพ้เขามา 1-2 ของที่บ้านเขา ในการแข่งขันนัดแรก และสู้ได้อย่างสุดหัวใจในการกลับมาเล่นที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน จนบางช่วงบางตอนขึ้นนำเขา 2-1 ทำให้ประตูรวมเสมอกัน 3-3 และโอกาสที่เราจะเอาชนะได้ก็กลับมาสูงมาก

แต่อย่างว่าแหละ กีฬาทุกอย่างนอกจากฝีมือแล้วก็ยังต้องอาศัยดวงอยู่บ้างนิดๆ ถ้าเราไม่พลาดไปเจอ 2 เหลือง กลายเป็น 1 แดง จนผู้เล่นของเราถูกไล่ออกจากสนาม จนเหลือแค่ 10 คนละก็ ผมยังแอบมั่นใจว่า เราน่าจะชนะได้

อย่าท้อแท้เป็นอันขาด น้องๆนักเตะทีมชาติไทยทั้งหลาย น้องทำดีที่สุดแล้ว สู้อย่างสุดหัวใจสุดฝีเท้าแล้ว...ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ที่นั่งดูการแข่งขันเมื่อคืนวันอาทิตย์ต่างเข้าใจและปรบมือให้น้องๆทุกคน

ผมเชื่อในทฤษฎีความเกี่ยวพันระหว่างฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศกับผลการแข่งขันของนักกีฬาในกีฬาต่างๆของแต่ละประเทศมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ มีความเชื่อว่า ประเทศที่มีสถานการณ์เศรษฐกิจดีก็จะเล่นกีฬาได้เก่งได้ดีไปด้วย

ยกตัวอย่างง่ายๆไปดูสถิติประเทศที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกมากที่สุด 10 อันดับแรกของ ปารีสโอลิมปิก เมื่อปีกลาย จะพบว่าล้วนแต่เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวค่อนข้างดี และขนาดเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศก็ค่อนข้างดีทั้งสิ้น

ได้แก่ สหรัฐฯ, จีน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร, เกาหลีใต้, อิตาลี และเยอรมนี

โดยความเชื่อในทฤษฎีนี้ ผมก็ลองเอามาเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศ อาเซียน ของเรา โดยเฉพาะในกีฬา ซีเกมส์

พบว่าประเทศที่ได้ เจ้าเหรียญทอง หรือได้เหรียญทองบ่อยที่สุดถึง 10 ครั้งก็คือ อินโดนีเซีย รองลงไปได้ 7 ครั้งก็คือ ไทยแลนด์ และได้ 2 ครั้งเท่ากัน 3 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย, เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์ เวียดนามเริ่มมาได้บ่อยในช่วงหลัง เพราะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น

...

สิงคโปร์ซึ่งมีรายได้ต่อหัวสูงสุดในอาเซียน อาจจะยังไม่ได้ตำแหน่งเจ้าเหรียญทองซีเกมส์ แต่ในแง่ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนแล้ว จะเห็นว่าสิงคโปร์เคยได้ถึง 4 ครั้ง (ไทยเราได้แชมป์บอลอาเซียนมากสุดถึง 7 ครั้ง เวียดนามก็เพิ่งได้ 3 ครั้งรวมครั้งนี้)

แสดงว่าทฤษฎีเศรษฐกิจดีกีฬามักดีด้วย น่าจะเป็นที่ยอมรับได้

สำหรับเวียดนามนั้น ล่าสุด ไอเอ็มเอฟ ประมาณการว่ามีรายได้ต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 16,195 เหรียญสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 6 ของอาเซียน แต่ก็มาแรงเพราะอัตราเพิ่มค่อนข้างสูง จนแซงฟิลิปปินส์มาได้ล่าสุด

แถมยังมีนักเศรษฐศาสตร์บางท่านคาดว่า อาจจะแซงไทยเราซึ่งเป็นอันดับ 4 ของอาเซียนที่มีรายได้ต่อหัวต่อปี 25,212 เหรียญ ในเวลาอันไม่นานนี้

แน่นอนถ้าเราหยุดพัฒนาเสียเลย ก็เป็นไปได้ที่เวียดนามจะแซงเรา แต่เนื่องจากเราเองก็มิได้หยุดนิ่ง โดยเฉพาะภาคเอกชนไทยที่แข็งแกร่งมาก ทำให้ผมยังเชื่อว่าเวียดนามแซงเรายาก

อย่างที่ผมเขียนไว้ด้วยความเป็นห่วง เมื่อช่วงปีใหม่แหละครับว่าปัญหาหนักที่สุดของเราที่จะทำให้เราแย่ในปีนี้ (และอาจแพ้เวียดนามในอนาคต) ก็อยู่ที่ นักการเมือง ไทยเรานี่แหละ ที่ทะเลาะกัน แบบเอาเป็นเอาตายเสียเหลือเกิน

ถ้านักการเมืองของเราลดความรุนแรงลง และไม่ถล่มกันหนักแบบทุกวันนี้ ผมยังเชื่อว่าเศรษฐกิจเวียดนามต้องใช้เวลานานมาก จึงจะแซงไทยและอาจแซงไม่ได้ด้วยซ้ำ

ครับ! ก็ถือโอกาสปลอบใจทั้งแฟนบอลและแฟนเศรษฐกิจไปพร้อมๆกัน หลังจากได้ดูฟุตบอลไทยเราแพ้เวียดนามในการชิงแชมป์ฟุตบอลอาเซียนปีนี้...สู้ๆต่อไป อย่าเพิ่งท้อนะครับ.


"ซูม"

คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม