“บิ๊กหยาม” เซ็นคำสั่งเด้ง ผกก.สืบบก.น.3 และรอง ผกก.สืบลูกน้อง เซ่นโครงการฉาวอบรมอาสาตำรวจคนจีนเรียกเก็บ 3.8 หมื่นบาท ด้าน บก.น.3 เรียกผู้เกี่ยวข้อง 5 คนสอบรวดเดียว 6 ชม. พบสมาคมการค้าวาณิชธุรกิจไทย-จีน เป็นผู้จัดโครงการ มีอาจารย์ชาวจีน ม.สยาม เป็นที่ปรึกษา วัตถุประสงค์อ้างอบรมสมาชิกแจ้งข่าวอาชญากรรมและจราจรเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้ชาวจีนที่อยู่ในไทย ผู้รับการอบรมมี 27 คน เป็น นศ.จีนจากมหาวิทยาลัย 14 คน ที่เหลือเป็นคนจีนนอกสถาบันต้องจ่ายเงินค่าเข้าคอร์ส ส่วน ผกก.นาจอมเทียนแจงปมร้อน ตั้งคนจีนเป็นที่ปรึกษา คณะ กต.ตร.โรงพักระบุแค่ช่วยงานล่ามประสานงานนักท่องเที่ยวแทนคนเก่าที่ลาออก ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจหรือเกี่ยวข้องกับงานในเชิงนโยบาย

จากข่าวฉาวต้นปี สังคมโซเชียลตั้งข้อสงสัยหลัง “ทนายแจม” น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน ทวีตในเอ็กซ์โพสต์ถามเป็นเรื่องสมควรหรือไม่ เมื่อมหาวิทยาลัยสยามจัดโครงการอบรมอาสาตำรวจคนจีน เก็บค่าอบรมหัวละ 38,000 บาท หลังจบหลักสูตรมีการมอบเสื้อกั๊กตำรวจ บัตรอาสาตำรวจ โดยการอบรมนี้มี พ.ต.ท.เกรียงศักดิ์ ช่วงวงศ์ รอง ผกก.สส.บก.น.3 เป็นวิทยากร พ.ต.อ.นิเวชร์ งามลาภ ผกก.สส.บก.น.3 เป็นผู้เซ็นรับรองใบประกาศเกียรติคุณ ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 3 ม.ค. ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 (บก.น.3) พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.3 พ.ต.อ.สุทธิศักดิ์ วันที รอง ผบก.น.3 ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวได้เชิญนายหลี่ จาง ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนานาชาติ มหาวิทยาลัยสยาม และนักศึกษาจีนระดับปริญญาโท 2-3 คน รวมทั้งผู้จัดการอบรมโครงการนี้มาชี้แจงข้อเท็จจริง กระทั่งเวลา 15.30 น. การชี้แจงเสร็จสิ้น ทั้งหมดเดินลงจากอาคารสำนักงาน บก.น.3 ขึ้นรถคันเดียวกันกลับออกไป

...

ต่อมาเวลา 16.00 น. พ.ต.อ.สุทธิศักดิ์ วันที รอง ผบก.น.3 กล่าวว่า ได้เรียกสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด คือ นักศึกษา ป.โท 3 คน อาจารย์ 1 คน และผู้จัดอบรม 1 คน จากสมาคมการค้าวาณิชธุรกิจไทย-จีน ประเด็นสำคัญอยู่ที่ผู้จัดอบรมได้ประสานไปยังรอง ผกก.สส.บก.น.3 เพื่อจัดอบรมสมาชิกแจ้งข่าวอาชญากรรมและจราจรเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้ชาวจีนที่อยู่ในประเทศไทยมาเป็นวิทยากรให้ความรู้กรณีดังกล่าว มีนายหลี่ จาง อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยสยาม เป็นที่ปรึกษาสมาคม จากเดิมจะจัดอบรมที่พัทยา จ.ชลบุรี เปลี่ยนมาเป็นมหาวิทยาลัยในพื้นที่ สน.ภาษีเจริญแทน มหาวิทยาลัยได้ทำหนังสือถึง กก.สส.บก.น.3 จากนี้จะทำหนังสือไปสอบถามว่ามีหนังสือดังกล่าวออกมาจากมหาวิทยาลัยหรือไม่

รอง ผบก.น.3 กล่าวต่อว่า สอบถามทราบว่า ผู้จัดอบรมจากสมาคมดังกล่าวเป็นคนจัดหาอุปกรณ์เครื่องหมาย หมวก โดยออกทุนเองหมดเกือบ 1 แสนบาท ผู้ที่มาอบรมมี 27 คน เป็นชาวจีน 26 คน ชาวไทย 1 คน มาจากบุคลากรทางมหาวิทยาลัย 14 คน ไม่เสียค่าใช้จ่าย มีเพียงคนนอกชาวจีน 13 คน เสียค่าใช้จ่ายคนละ 38,000 บาท รวมมูลค่ากว่า 490,000 บาท นอกจากมีผู้มาเป็นวิทยากร มีรอง ผกก.สส.บก.น.3 ตำรวจคนอื่นเข้าร่วมด้วย ผกก.สส.บก.น.3 มาเปิดการอบรม เซ็นประกาศรับรองให้เท่านั้น และมีทนายเข้าร่วมเป็นวิทยากรด้วย หากพิจารณาแล้วการจัดอบรมลักษณะดังกล่าวจัดขึ้นไม่ถูกต้อง ไม่ได้รับอนุญาตตามระเบียบ เพราะหากอบรมไม่ถูกต้องการใช้เครื่องหมายของทางราชการย่อมไม่ถูกต้องด้วย หากมีผู้เข้าร่วมอบรมจะแจ้งความดำเนินคดี แจ้งได้ที่ สน.ภาษีเจริญ ข้อเท็จจริงดังกล่าวผู้เข้าร่วมอบรมไม่มีความผิด ส่วนคนที่จัดอบรมมีความผิดหรือไม่ ต้องให้ตำรวจพื้นที่รับผิดชอบ

วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. กล่าวว่า สั่งการให้บก.น.3 รายงานผลตรวจสอบข้อเท็จจริงวันนี้ หากพบตำรวจทั้ง 2 นายเกี่ยวข้องกับผู้จัดโครงการไม่ใช่แค่เป็นวิทยากรจะดำเนินการทางอาญาหรือทางวินัย อยู่ที่การตรวจสอบว่ามีส่วนรู้เห็นกับเจ้าของโครงการด้วยหรือไม่ในการเรียกรับผลประโยชน์ เมื่อได้ข้อมูลหมดแล้วหากพบเจ้าหน้าที่ตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องจะดำเนินการโดยไม่ละเว้นตามพยานหลักฐาน ยืนยันว่าตำรวจที่เป็นวิทยากรปรากฏตามภาพถ่ายเป็นตำรวจจาก บก.น.3 ไม่ใช่ตำรวจที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบดูแลมหาวิทยาลัยสยาม นอกจากนี้ยังพบว่าโครงการนี้จะมีการเปิดรุ่นที่ 2 แต่เมื่อมีการตรวจสอบรายละเอียดแล้วทำให้โครงการรุ่นที่ 2 ถูกเลื่อนออกไป ส่วนกรณีที่มีการอบรมให้ความรู้แจ้งข่าวอาชญากรรมเป็นเรื่องปกติที่ตำรวจได้อบรมกันอยู่แล้วเป็นโครงการที่ตำรวจจัดขึ้นไม่มีค่าใช้จ่าย ให้ความรู้ประชาชนในการแจ้งข่าวป้องกันภัยต่างๆให้มีส่วนร่วมในภาคประชาชน ส่วนการนำเครื่องหมายตราแผ่นดินสัญลักษณ์ทางราชการไปใช้ถือว่าผิดอยู่แล้ว การจะนำโลโก้หน่วยงานราชการไปใช้จะต้องขออนุญาต ส่วนผู้ที่โพสต์ชักชวนให้เข้าร่วมโครงการมีการเรียกเก็บเงินจะเป็นใครต้องตรวจสอบ สั่งการไปยัง ผกก.สน.ภาษีเจริญ ตำรวจพื้นที่ให้ตรวจสอบและรายงานผลให้ทราบ

ล่าสุด พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. มีคำสั่งกองบัญชาการที่ 2/2568 ให้ พ.ต.อ.นิเวชร์ งามลาภ ผกก.สส.บก.น.3 และ พ.ต.ท.เกรียงศักดิ์ ช่วยวงศ์ รอง ผกก.สส.บก.น.3 ที่ปรากฏเป็นวิทยากรและเซ็นชื่อในประกาศเกียรติคุณช่วยราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งต้นสังกัด ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

อีกด้านหนึ่ง นายเวทิต ทองจันทร์ รองผู้อำนวย การสำนักประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยสยาม เปิดเผยทางโทรศัพท์ถึงเรื่องฉาวที่เกิดขึ้นว่า หลังตรวจดูหนังสือที่ส่งมาเชิญตำรวจ กก.สส.บก.น.3 เพื่อขอคำแนะนำในการอบรมอาสาตำรวจให้นักศึกษาจีน พบว่าไม่ใช่หนังสือทางการจากมหาวิทยาลัยเพราะที่ได้พูดคุยกับอธิการบดีขณะนี้อยู่ต่างประเทศแจ้งว่า เอกสารทางการจะต้องออกจากสำนักอธิการบดีที่ท่านมอบหมาย การอบรมครั้งนี้คงเป็นการอบรมในคลาสไม่ใช่มหาวิทยาลัยเปิดอบรม น่าจะเป็นคลาสของนักศึกษาจีนที่เชิญตำรวจเข้ามาอบรมด้านนี้

นายเวทิตยืนยันด้วยว่า เอกสารหรือหนังสือเชิญของมหาวิทยาลัยไม่สามารถออกเองโดยอาจารย์ได้ ต้องผ่านขั้นตอนจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยเท่านั้น ส่วนจะเอาผิดได้หรือไม่ มี 2 ประเด็น คือเรื่องภายในกรณีที่อาจารย์ผู้ดูแลนักศึกษาจีนออกเอกสารเชิญตำรวจเองโดยไม่ผ่านมหาวิทยาลัย ถือเป็นความผิดทางวินัย ส่วนประเด็นเก็บเงิน 38,000 บาท มีจริงหรือไม่ ต้องร่วมมือกับตำรวจแต่ส่วนตัวเชื่อว่าแอบอ้าง เพราะตามระเบียบเงินที่เข้าจะต้องผ่านการเงินมหาวิทยาลัย เหมือนลงทะเบียนเรียน และทุกหลักสูตรของมหาวิทยาลัย แม้จะมีการอบรมเล็กน้อยต้องโอนผ่านบัญชีมหาวิทยาลัยสยามเท่านั้น

ขณะที่นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ตร.) กล่าวถึงกรณีนี้ว่า จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาชี้แจงให้ข้อมูลต่อกมธ.ตร.ในวันที่ 9 ม.ค. ขอเรียกร้องถึง ผบ.ตร.ให้ตรวจสอบอย่างจริงจัง มีใครบ้างเกี่ยวข้องมีส่วนรู้เห็นอย่างไร และดำเนินการให้ถึงที่สุดกับตำรวจผู้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้ามีการเก็บเงินจริง มีการออกบัตรอาสาสมัครตำรวจต่างชาติคนจีนจริง ขอให้ดำเนินการเด็ดขาดให้เป็นตัวอย่าง มิฉะนั้นจะมีคนไปแอบอ้างและเปิดหลักสูตรและทำเรื่องแบบนี้อีกเรื่อยๆ

...

ขณะเดียวกันที่ จ.ชลบุรี ยังมีเรื่องทำนองเดียวกัน เมื่อมีเพจดังเผยแพร่ภาพบัตรที่ปรึกษาคณะกรรมการ กตตร.ของ สภ.นาจอมเทียน โดยผู้ถือบัตรเป็นชาวจีน ทำให้เกิดคำถามในสังคมออนไลน์ถึงความเหมาะสม รวมถึงเรียกร้องให้ ผบ.ตร. ตรวจสอบ ล่าสุด พ.ต.อ.วัฒนชัย แสงฤทธิ์ ผกก.สภ.นาจอมเทียน ชี้แจงว่า การแต่งตั้งที่ปรึกษาเป็นอำนาจหัวหน้าสถานีตำรวจ สภ.นาจอมเทียนไม่ได้แต่งตั้งเฉพาะคนจีนแต่รวมถึงชาวต่างชาติจากรัสเซียและอินเดีย เพื่อช่วยราชการด้านประสานงานและเป็นล่ามกับนักท่องเที่ยวต่างชาติในพื้นที่ สภ.นาจอมเทียน มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก การมีล่ามจิตอาสาช่วยงานเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากงบประมาณสถานีตำรวจไม่เพียงพอว่าจ้างล่ามเต็มเวลา การแต่งตั้งที่ปรึกษาต่างชาติเป็นแนวทางที่ใช้อยู่ก่อนหน้านี้ เพื่อแก้ไขปัญหาและลดข้อจำกัดด้านภาษา

ผกก.สภ.นาจอมเทียนกล่าวอีกว่า การแต่งตั้งชาวจีนรายนี้เป็นการแต่งตั้งแทนที่ปรึกษาคนเดิมที่ลาออกและแนะนำบุคคลดังกล่าวซึ่งต้องการช่วยงานราชการและมีทักษะด้านภาษาอย่างเหมาะสม ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเพียงผู้ช่วยประสานงานหรือเป็นล่ามกรณีที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องการความช่วยเหลือในการติดต่อเจ้าหน้าที่ ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจหรือเกี่ยวข้องกับงานในเชิงนโยบาย ยืนยันว่า การแต่งตั้งที่ปรึกษาต่างชาติในลักษณะนี้เป็นไปเพื่อความสะดวกในการบริการนักท่องเที่ยวและเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีมีการโยงถึงสมาคมกำลังสำรองรักษาดินแดน เปิดคอร์สอบรมตำรวจอาสาโดยเก็บค่าอบรม มีตำรวจมาเป็นวิทยากรให้ผู้ที่เข้าอบรมเป็นคนจีน มีผู้เปิดคอร์สอบรมมีเครื่องแต่งกายคล้ายทหาร ลักษณะเดียวกับมหาวิทยาลัยชื่อดังที่เป็นข่าวว่า กระทรวงมหาดไทย โดยส่วนทะเบียนมูลนิธิและสมาคม (สมส.) สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ตรวจสอบเบื้องต้นและได้มีหนังสือให้สมาคมฯ ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว หากพบว่าดำเนินกิจการขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ อธิบดีกรมการปกครองในฐานะนายทะเบียนสมาคม มีอำนาจสั่งถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนตามกฎหมาย และจะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

...

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่