มีคำพูดประโยคหนึ่งที่ฮิตในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ก็คือ “ในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส”  ซึ่งก็เป็นความจริง เมื่อเร็วๆนี้สำนักวิจัยเศรษฐกิจ Bureau of Economic Analysis สหรัฐฯ ได้เปิดเผยงานวิจัยเกี่ยวกับความฟู่ฟ่าของธุรกิจช่วงหลังโควิด พบว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะ คุณหมาคุณแมว ที่เคยเป็นเพื่อนแก้เหงาในช่วงที่ทุกคนต้องเก็บตัวจากสังคมในยุคโควิด หลังโควิดแทนที่ธุรกิจจะซาลง กลับฟู่ฟ่าคึกคักยิ่งกว่าเดิม เจ้าของสัตว์เลี้ยงต่างก็ให้ความเอ็นดูเอาใจใส่เจ้าสี่ขากันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน การรักษาพยาบาล การดูแลความสะอาด การบำรุงขนเล็บ ฯลฯ เลี้ยงเหมือนลูกรักคนหนึ่ง

เจ้าของมักสรรหาสิ่งดีๆมาให้โดยไม่เสียดายเงิน ทั้งที่เศรษฐกิจสหรัฐฯหลังโควิดใหม่ๆยังไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ แต่ชาวอเมริกันก็ยอมเจียดรายได้มาบำรุงบำเรอสหายรักขนฟูเหล่านี้

ข้อมูลจาก World Exclusive ใน วารสารการเงินธนาคาร รายงานว่า สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ปี 2023 ที่ผ่านมา ชาวแยงกี้ควักกระเป๋าใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงเป็นมูลค่าราว 186,000 ล้านดอลลาร์ 6.5 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล ค่าของเล่น เสื้อผ้า และค่าเสริมสวยทำความสะอาด ทำให้ธุรกิจต่างๆเห็นโอกาสเข้าร่วมวงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงกันมากขึ้น  เช่น  บริษัทผลิตช็อกโกแลตชั้นนำยี่ห้อ  Mars ปี 2023 มีรายได้จากขนมสัตว์เลี้ยงคิดเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ขณะที่ บริษัท Royal Canin  ซึ่งเป็นแบรนด์อาหารสัตว์ชั้นนำ ได้เปิดกิจการคลินิกสัตว์นับพันแห่ง บริษัทชั้นนำอย่าง Nestle  และ Colgate ก็โดดเข้าร่วมวงด้วย ทำให้มีรายได้จากแผนกที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงสูงถึง 1 ใน 5 ของรายได้บริษัท

...

งานวิจัยยังพบว่า การใช้จ่ายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงขยายตัวในช่วงปี 2019–2023 สูงถึง 11% เทียบกับการใช้จ่ายทั่วไปของผู้บริโภค ซึ่งขยายตัว 6% Morgan Stanley ธนาคารยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ คาดการณ์ว่า การใช้จ่ายของชาวอเมริกันที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงจะเติบโต 2.5% ในปี 2024 สูงกว่าการใช้จ่ายด้านเสื้อผ้าที่ธนาคารคาดไว้ มอร์แกน สแตนเลย์  ยังได้พยากรณ์ว่า ธุรกิจสัตว์เลี้ยงจะเฟื่องฟูต่อไป มูลค่าการใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงจะเพิ่มขึ้นเป็น 260,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือ 9 ล้านล้านบาทต่อปี ภายในปี 2030

ปัจจัยที่ส่งเสริมให้การใช้จ่ายด้านสัตว์เลี้ยง และธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงสี่ขา มีการขยายตัวอย่างคึกคัก เนื่องจากความรู้สึกของผู้คนที่มีต่อสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนไป  พวกหมาแมวทั้งหลายกลายเป็นสมาชิกถาวรในครอบครัว เลื่อนฐานะจากที่เคยนอนนอกบ้านเข้ามานอนในบ้าน และนอนในห้องนอนร่วมกับเจ้าของบ้านในที่สุด  นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่ยุคนี้มักจะแต่งงานช้า หรือไม่อยากมีลูกเต้า ก็จะหันมาเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว และคนวัยทำงานก็มีกำลังเงินพอที่จะเลี้ยงดูลูกรักสี่ขาได้อย่างสบาย จ่ายไม่อั้นทั้งของเล่น เสื้อผ้า ครีมบำรุง และอาหารรสอร่อยเพื่อบำรุงสุขภาพ ไม่ต่างไปจากอาหารมนุษย์

ผมเคยคุยกับ ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของไทย  หลายราย ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วันนี้อาหารสัตว์เลี้ยงทำรายได้ดีกว่าอาหารมนุษย์ โดยเฉพาะอาหารที่ทำจากปลา ถ้าเป็นอาหารสัตว์จะขายได้ราคาดีกว่าอาหารมนุษย์ กำไรเป็นกอบเป็นกำจนต้องขยายกำลังการผลิต

ความรุ่งโรจน์ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงสี่ขา ทำให้นักลงทุนระดับเซียนใน Private Equity Firms ทั้งหลาย แห่เข้าซื้อกิจการและลงทุนในกิจการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมากมาย จนหน่วยงานด้านกำกับดูแลการผูกขาดในสหรัฐฯและอังกฤษ ต้องตรวจสอบพฤติกรรมของนักลงทุนเหล่านี้ วันนี้บริษัทผลิตอาหารทั่วโลกต่างปรับกลยุทธ์หันมาผลิตอาหารสี่ขากันมากขึ้น  นอกจากนี้ ธุรกิจ “โรงพยาบาลสัตว์”  ก็เฟื่องฟูอย่างมาก  เอาแมวเข้าโรงพยาบาลทีจ่ายกันหลายหมื่นบาท  แพงกว่ารักษาคนเสียอีก.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม