ไม่กี่วันก่อน มีข่าวเล็กๆ บริเวณหน้าทำเนียบ ที่อาจสั่นสะเทือนทั้งวงการแพทย์และวงการเสริมความงาม รวมถึงในหมู่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ทั้งหลาย เมื่อมีผู้หอบหลักฐานมาร้องเรียนว่า คลินิกเทคนิคการแพทย์แห่งหนึ่งย่านจตุจักร แอบลักลอบผลิตสเต็มเซลล์จากสายสะดือเด็ก และสกัดพลาเซนต้าฉีดหน้าจากรกเด็ก รวมถึงจัดจำหน่ายให้คลินิกความงามและโรงพยาบาลร่วม 100 แห่งทั่วกรุงเทพมหานครการนำสายสะดือและรกมาสกัดเป็นสเต็มเซลล์ในอุตสาหกรรมความงาม ไม่ใช่มาตรฐานในการประกอบวิชาชีพ และไม่มีงานวิจัยบ่งชี้ว่า รกและสายสะดือจะช่วยเรื่องความได้จริงๆ พูดง่ายๆ ว่า สเต็มเซลล์ที่เราเห็นตามโฆษณาคลินิกความงามต่างๆ ‘ผิดกฎหมาย’ไทยรัฐออนไลน์ ขอพาผู้อ่านค่อยๆ คลี่ความจริงของพฤติกรรมการลักสายสะดือ-รกเด็ก เพื่อส่งสกัดสเต็มเซลล์ฉีดชะลอแก่ ที่ยังเงียบเชียบ แต่กระทบกับผู้บริโภคมหาศาล และอาจมีคนใหญ่คนโตนามสกุลดังมาเกี่ยวข้องเป็นขบวน ร้องทุกข์หน้าทำเนียบ พยาบาลแอบขโมยรกและสายสะดือเด็กไปขายย้อนไปเมื่อเดือนที่แล้ว (24 ต.ค. 2567) ทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ได้พาผู้เสียหายคือ นางสาวกุ๊กไก่ (นามสมมุติ) เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล และแจ้งเบาะแสพร้อมหลักฐาน ‘ขบวนการลักลอบค้าชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์’ โดยมี จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ออกมารับเรื่องราวร้องทุกข์ และในวันถัดมา ทนายและผู้เสียหายได้เข้าไปยื่นหนังสือร้องทุกข์ที่กระทรวงสาธารณสุข โดยมี สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ที่ปรึกษา รมว.สธ. เป็นผู้รับเรื่องเรื่องมีอยู่ว่า กุ๊กไก่ (นามสมมุติ) อ้างว่า ได้มีพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลรัฐในสังกัดกรมการแพทย์ (ย่านสาทร) แอบลักลอบขโมยรกเด็กและสายสะดือจากทารกหลังคลอด (ซึ่งต้องเป็นเลือดกรุ๊ปโอเท่านั้น) นำออกมาขาย ให้กับคลินิกเทคนิคการแพทย์แห่งหนึ่ง (ย่านจตุจักร) โดยคลินิกฯ แห่งนี้ ได้นำรกเด็กมาสกัดโกรทแฟคเตอร์ (Growth Factor) ส่วนสายสะดือนำมาสกัดเป็นสเต็มเซลล์ และจำหน่ายให้แก่คลินิกความงามและโรงพยาบาลต่างๆ กว่า 100 แห่งในคำร้องทุกข์อ้างว่า พยาบาลคนดังกล่าวได้แอบลักลอบทำเช่นนี้ร่วม 7-8 ปี แล้ว โดยขายในราคาประมาณ 20,000 บาทต่อ 1 ตัวอย่าง (รก 10,000 บาท สายสะดือ 10,000 บาท) วิธีการคือส่งผ่านแมสเซนเจอร์มาที่คลินิก และคลินิกจะโอนเงินตรงเข้าบัญชีนางพยาบาล หลังจากตรวจสอบแล้วว่ารกและสายสะดือที่ส่งมาไม่มีร่องรอยไม่เสียหายหรือติดเชื้อรายงานข่าวจากการสืบสวนสอบสวน ระบุว่า คลินิกเทคนิคการแพทย์แห่งนี้ มีเจ้าของเป็นนักธุรกิจหนุ่มนามสกุลเดียวกันกับอดีตข้าราชการระดับสูง มีภรรยาเป็นถึงผู้ใกล้ชิดกับกระบวนการยุติธรรม มีแม่ยายที่อ้างตัวไว้ในเว็บไซต์คลินิกดังกล่าว ว่าเป็น ‘นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ’ และ ‘ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์กระทรวงสาธารณสุข’ 4 วันหลังร้องทุกข์ ตำรวจบุกคลินิก!ด้าน พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า หลังรับเรื่องดังกล่าว ขณะนี้ได้มีการร่วมมือกันของหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงสาธารณสุข, องค์การอาหารและยา (อย.) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.4), กรมการแพทย์ ในการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานต่อไปต่อมาวันที่ 28 ต.ค. 2567 ตำรวจ บก.ปคบ. , กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และ อย. ได้นำหมายศาลเข้าไปตรวจค้นที่คลินิกย่านจตุจักรแห่งนั้น 2 จุดด้วยกัน (คลินิกเทคนิคการแพทย์และคลินิกเวชกรรม) ยึดของกลางได้รวมมูลค่า 20 ล้านบาท ดังนี้ จุดที่ 1 พบ ยาจำนวน 63 รายการ, เครื่องจักร วัสดุ อุปกรณ์ในการผลิต จำนวน 9 รายการ, เวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ จำนวน 8 รายการ รวมมูลค่าของกลางประมาณ 10,000,000 บาท จุดที่ 2 พบ หลอดบรรจุสารเหลว จำนวน 18 รายการ (ต้องสงสัยว่าเป็นสเต็มเซลส์), เครื่องจักร อุปกรณ์ในการผลิต จำนวน 8 รายการ, เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ จำนวน 8 รายการ, เวชระเบียน จำนวน จำนวน 40 ฉบับ รวมมูลค่าของกลางประมาณ 10,000,000 บาท พ.ต.อ.วีระพงษ์ คล้ายทอง ผกก.4 บก.ปคบ. ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ยังไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาคลินิกดังกล่าว แต่อยู่ระหว่างส่งของกลางที่คาดว่าเป็นสเต็มเซลล์ ไปตรวจสอบที่ห้องปฏิบัติการของราชการ (Lab) ซึ่งต้องรอผลประมาณ 1-2 เดือน หากผลตรวจระบุว่าผิดจริง จึงจะมีการเรียกเจ้าของคลินิกมาแจ้งข้อหา และทำสำนวนส่งอัยการและส่งฟ้องต่อไป ในข้อหาฐาน ‘ผลิตยาโดยไม่ได้รับอนุญาต’ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท (ภาพการบุกค้นคลินิกดังกล่าว ในซอยพหลโยธิน 32 ถนนเสนานิคม 1 แขวงเสนานิคม เขตจัตุจักร กรุงเทพมหานคร )ทนายสงกานต์ยัน หลักฐานแน่น! เชื่อว่าทำเป็นขบวนการไทยรัฐออนไลน์ ได้รับการยืนยันจากทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ว่าตนและผู้ร้องได้รวบรวมหลักฐานส่งให้ทางตำรวจแล้ว อาทิ เช่น ข้อมูลของบริษัทและผลิตภัณฑ์ (เว็บไซต์ลบไปแล้ว)ข้อมูลโฆษณาสเต็มเซลล์บนช่องทางออนไลน์เส้นทางการเงินของบริษัท, หลักฐานการโอนเงินให้พยาบาลวิชาชีพหลักฐานการโอนเงินให้นางพยาบาลวิชาชีพ หลักฐานการขนส่งรกเด็กและสายสะดือในแอปพลิเคชันเจ้าหนึ่ง หลักฐานการสนทนาของลูกค้าที่แจ้งว่าตนฉีดสารสกัดจากรกเด็กแล้วมีอาการผื่นบวมหลักฐานการสนทนา (แชท) ระหว่างธุรกรของบริษัทและพยาบาลวิชาชีพฯลฯ (แชทบางส่วนระหว่างนางพยาบาลวิชาชีพ และเจ้าหน้าที่ธุรการของคลินิกฯ ในการซื้อขายรกและสายสะดือ) (การโฆษณาบางส่วนในเพจเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ของคลินิกดังกล่าว) (แชทบางส่วนระหว่างคลินิกฯ ผู้ผลิต และคลินิกความงามที่รับซื้อไปใช้)กรมการแพทย์สอบสวนพยาบาล เบื้องต้นพบ ‘ทำคนเดียว’นพ.อดิศักดิ์ งามขจรวิวัฒน์ ผอ.รพ.เลิดสิน รับมอบหมายจากกรมการแพทย์ ให้สัมภาษณ์กับไทยรัฐออนไลน์ หลังทราบข่าวเกี่ยวกับการนำรกและสายสะดือเด็ก ออกจากโรงพยาบาล โดยไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวงฯ ทางผู้บริหารกรมการแพทย์โดยท่านอธิบดีและรองอธิบดีได้สั่งการให้ทางโรงพยาบาลเลิดสินตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน และจากการสอบสวนเบื้องต้น พบว่า พยาบาลวิชาชีพของโรงพยาบาล 1 ท่าน ได้รับสารภาพว่า ได้นำรกเด็ก (ซึ่งเป็นขยะติดเชื้อที่ทิ้งแล้ว) ออกไปจากโรงพยาบาล เนื่องจาก ‘มีคนขอมาเป็นครั้งคราว’ ซึ่งรกที่ถูกนำออกไปเป็นลักษณะของมูลฝอยติดเชื้อ ไม่สามารถนำไปทำสเต็มเซลล์ได้ส่วนประเด็นที่ว่า มีการนำรกไปทำอะไรต่อ ทางพยาบาลวิชาชีพท่านนี้ ‘ไม่ให้คำตอบ’ และแจ้งว่า “ไม่ทราบว่าผู้รับ นำไปทำอะไร”พยาบาลให้การว่า เอารกออกไปเฉลี่ยประมาณปีละ 6-7 ชิ้น โดยจะเอาออกไปเมื่อมีการร้องขอเข้ามา โดยที่จะต้องเป็นรกที่ถูกทิ้งเพียงแค่ชิ้นเดียวในถังขยะทิ้งรก หากวันไหนมีการทิ้งรวมหลายชิ้น จะไม่นำออกจากโรงพยาบาลนพ.อดิศักดิ์ ระบุว่า จากการตรวจสอบ โรงพยาบาลได้ทำตามขั้นตอนและมาตรฐานคู่มือขยะติดเชื้อมูลฝอยครบถ้วน โดยเบื้องต้นพบว่า การนำรกออกไปจากโรงพยาบาล เป็นการกระทำเฉพาะบุคคล คือพยาบาลท่านนี้ท่านเดียวเท่านั้น โดยทางโรงพยาบาลได้เข้าไปแจ้งความในข้อหา พยาบาลท่านนี้ทำผิดกฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ พ.ศ. 2545 ส่วนข้อหาลักทรัพย์ของโรงพยาบาลหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของทางตำรวจดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ นพ.อดิศักดิ์ ยังระบุว่า ทางโรงพยาบาลยังไม่พักราชการพยาบาลท่านดังกล่าว แต่ได้ให้พยาบาลท่านนี้ออกจากแผนกห้องคลอดแล้ว เนื่องจากขณะนี้ต้องถือว่า พยาบาลท่านนี้เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งขณะนี้ทางโรงพยาบาลเลิดสินได้ส่งผลการตรวจข้อมูลของคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงให้กรมการแพทย์เพื่อดำเนินการตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป (ข้อมูลการโอนเงินจากคลินิกฯไปที่พยาบาลคนดังกล่าวในปี 2565)มองต่างทางกฎหมาย ‘ลักทรัพย์’ หรือ ‘ค้าอวัยวะมนุษย์’พ.ต.อ.วีระพงษ์ มองว่า ในเบื้องต้น คลินิกดังกล่าวอาจผิดข้อหา ‘ผลิตยาโดยไม่ได้รับอนุญาต’ โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนข้อหาอื่นๆ อาจต้องรอการสืบสวนสอบสวนต่อไป ในส่วนของการขโมยรกและสายสะดือออกมาขาย พ.ต.อ.วีระพงษ์ มองว่า นางพยาบาลวิชาชีพอาจผิดข้อหาลักทรัพย์ของโรงพยาบาล แต่อาจยังไม่เข้าข่ายการซื้อขายอวัยวะมนุษย์ขณะที่ ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ (ที่ปรึกษา รมว.สธ.) ระบุว่า นางพยาบาลอาจผิดข้อหาลักทรัพย์เท่านั้น โดยมองว่านิยามของรกและสายสะดือ คือ ‘ขยะติดเชื้อ’ ไม่ใช่ ‘อวัยวะ’ เพราะเมื่อแม่คลอดลูกเสร็จ ปกติแล้วรกและสายสะดือจะถูกทิ้งกลายเป็นขยะติดเชื้อ เมื่อนางพยาบาลนำออกไปขายจากกองขยะติดเชื้อ จึงกลายเป็น ‘ทรัพย์อย่างหนึ่ง’ ภาษากฎหมายเรียกว่า ‘มีราคาและถือเอาได้’โดยธนกฤต มองว่าในคดีนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ เบื้องต้นคือข้อหาผลิตยาแผนปัจจุบัน โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 12 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท ตามมาตรา 101 แห่งพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และที่แก้ไขเพิ่มเติมข้อหาผลิต หรือขายยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ตามมาตรา 72 (4) ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 122โฆษณาสถานพยาบาล เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.254พระราชบัญญัติอาหารและยา พ.ศ.2522 ขณะที่ ทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ตั้งข้อสังเกตว่า คดีนี้เป็นมากกว่าการลักทรัพย์ แต่เข้าข่าย ‘การค้าขายชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์’ เนื่องจากรกและสายสะดือ ถือเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย และมีราคาค่างวด และมองว่านางพยาบาลคนนี้ไม่สามารถกระทำการได้เพียงคนเดียวต่อเนื่องหลายปี และอาจมีขบวนการอยู่เบื้องหลังหมายเหตุ คำว่า ‘สเต็มเซลล์’ หรือ เซลล์ต้นกำเนิด อธิบายง่ายๆ ว่า เราต่างเกิดมาจากการผสมพันธุ์กันระหว่างอสุจิกับไข่ของบิดามารดา การปฏิสนธิครั้งแรกจะมีแค่เซลล์เดียวเท่านั้น จากนั้นจึงมีการแบ่งตัว เจริญเติบโตและพัฒนามาเป็นเรา ดังนั้น ทุกเซลล์ในร่างกายของเราที่ทำหน้าที่ในแต่ละอวัยวะ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ ตับ ไต สมอง ปอด ผิวหนัง หัวใจ ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากเซลล์เดียวกันทั้งนั้น ซึ่งเราจะเรียกเซลล์ต้นกำเนิดอันนี้ว่า สเต็มเซลล์ปัจจุบัน สเต็มเซลล์ที่ถูกยอมรับจากทั่วโลกมีเพียงชนิดเดียวเท่านั้นคือ ‘เซลล์จากไขกระดูก’ สำหรับใช้ในการรักษาโรคเท่านั้น เช่น มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคเลือดจากรุนแรง ไขกระดูกฝ่อ รวมถึงคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด