“ความวัว” เพิ่งหายจากสงครามฝ่าย สงฆ์กับฆราวาสที่วัดหิรัญญาราม หรือวัดบางคลาน ต.บางคลาน  อ.โพทะเลจ.พิจิตร ยังผลให้ศาสนาต้องแปดเปื้อนเมื่อต้นปีนี้...“ความควาย” ก็โผล่มาแทนที่วงการสงฆ์อีกคำรบหนึ่ง

ดูกร...สาธุชนและผู้ทรงศีลลำพังศาสนาขณะนี้ต้องล้มเหลว จากพฤติกรรมคนห่มเหลืองเป็นกระบุง ตัวอย่างพระสมณะสูงแก่พรรษาไม่อยู่ในศีล เณรอ่อนพรรษาไม่อยู่ในธรรม เอาแต่ร่ำสุรายาเมาเสพเมถุนพี้กัญชา ถองยาบ้าสำราญบานใจ นำพาศาสนาสู่หุบเหวแห่งความวิบัติ

อีกทั้งพระเถระยังฉ้อฉลเงินแผ่นดินที่รัฐสนับสนุน สาธุชนบริจาคอย่างไร้จริยธรรมไม่แพ้คนในโลกมนุษย์ อีกกรณีที่ “พระธาตุศรีสองรัก” ศาสนสถานสำคัญชาวอีสานแห่งบ้านหัวนายูง หมู่ 14 ต.ด่านซ้าย อ.ด่านซ้าย จ.เลย ซึ่งประชาชนต่างกราบไหว้บูชา พึ่งพาจิตใจมาแต่ครั้งปู่ย่าตาทวด ตลอดจนเพื่อนบ้านริมฝั่งโขง

ด้วยกระแสศรัทธาต่อเนื่องยาวนานมากว่า 4 ศตวรรษ ทว่าบัดนี้...ได้เกิดกลายเป็นชนวนแห่งการฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล เหมือนโลกปุถุชนที่มิใช่ฝ่ายสงฆ์ชอบกระทำกันขึ้นเสียแล้ว?

...

“ลูกผึ้งลูกเทียน” นิยามชาวด่านซ้าย ได้ชวนย้อนบันทึกประวัติพระธาตุองค์ดังกล่าว...เกิดขึ้นเมื่อปี 2130 ด้วยกษัตริย์ 2 ราชอาณาจักรแห่งกรุงศรีอยุธยากับกรุงศรีสัตนาคนหุตเวียงจันทน์ ด้วยต้องการสื่อสัมพันธ์ความรักและอุทิศแด่พระพุทธศาสนาแทนคน 2 แผ่นดิน ประดิษฐาน ณ ริมฝั่งแม่น้ำหมาน

จุดแบ่งเขตแดนไทย-ลาว ก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2109 ก่อนกำเนิดกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ร่วม 304 ปี ภายในที่ดิน 106 ไร่ นอกจากองค์พระยังมีเจดีย์และมณฑปประดิษฐาน

พระพุทธรูปปางนาคปรก โดยมีงานสมโภชล้างทำความสะอาดพระธาตุประจำทุกปีในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6

 “วันดังกล่าว..ยังมีพิธีอุปสมบททุกปีปีละหนึ่งครั้ง” ลูกผึ้งลูกเทียนกล่าว

“...ให้คนที่ต้องการเดินตามรอยศาสนาแล้วไปจำวัตรที่วัดโพนชัยในตัวอำเภอ แต่ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น จึงเลือกไป วัดเนรมิตวิปัสสนาใกล้องค์ธาตุและวัดอื่นๆ...ภายในเขตองค์ธาตุต้องห้ามสำหรับคนสวมเสื้อผ้าชุดแดง หรือหญิงซึ่งเป็นเพศมีประจำเดือนหมายถึงเลือดเข้าไปโดยเด็ดขาด”

การประกอบพิธีกรรมไม่ว่าจะเป็น “บุญเล็ก” หรือ “บุญใหญ่” ที่สืบกันมานาน คือมี “เจ้าพ่อกวน” กับ “เจ้าแม่นางเทียม” ตัวแทนฝั่งลาว สองผู้นำด้านจิตวิญญาณเป็นผู้นำพิธีกรรมต่างๆ

เจ้าพ่อกับเจ้าแม่มีมาแต่ครั้งหลังการสร้างองค์ธาตุ เพื่อดูแลรักษาโดยเจ้าพ่อและเจ้าแม่เป็นบุคคลที่ได้มาซึ่งร่างทรงพระเจ้าเสื้อเมือง ที่ลูกผึ้งลูกเทียนต่างเคารพบูชาและพิจารณาจากทายาทสกุล “เชื้อบุญมี” ที่เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม จริยธรรมและมนุษยธรรมต่อมวลมนุษย์ อีกทั้งมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง

ล่าสุด..คือเจ้าพ่อกวนที่สืบสายสกุลมาเป็นคนที่เจ็ด ได้แก่ ดร.ถาวร เชื้อบุญมี กับเจ้าแม่นางเทียม ประกายมาศ เชื้อบุญมี ที่พึ่งของลูกผึ้งลูกเทียนด่านซ้าย

ส่วนกรณีการฟ้องร้องเป็นคดีความนั้น ลูกผึ้งลูกเทียนเผยว่ารู้สึกสะเทือนใจ เพราะไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องน่าบัดสีเช่นนี้ เกิดขึ้น ซึ่งมีส่วนกัดกร่อนให้ศาสนาพลอยมัวหมองไปด้วย

“เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2564 นักกฎหมายรายหนึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นไวยาวัจกร..เป็นผู้ฟ้องวัดดังในอำเภอ เพื่อเพิกถอนที่ดิน 106 ไร่มาบริหารจัดการ ซึ่งอ้างตรงนั้นทับซ้อนอยู่กับวัด..พระศรีสองรักมาแต่ครั้งสี่ร้อยปีก่อนโน้น ทั้งที่อดีตถึงปัจจุบันไม่เคยปรากฏมีพระจำวัดแม้แต่รูปเดียว”

...

คำฟ้องระบุกรมที่ดิน อธิบดีกรมที่ดินและสำนักงานที่ดินจังหวัดเลย สังกัดกระทรวงมหาดไทย เป็นจำเลย คำฟ้องได้ระบุเพิ่มเติม...สำนักส่วนราชการแห่งหนึ่งได้มีหนังสือรับรองสถานภาพวัดพระธาตุศรีสองรักว่าเป็นวัดมาตั้งแต่ปี 2103 โดยอ้างชาวบ้านเรียกว่า “วัดธาตุ”  ที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา

คือ..ที่ดินที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้พระสงฆ์เพื่อสร้างอุโบสถ

โดยประกาศเป็นพระบรมราชโองการ และมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย อ้างด้วยว่า...“วัดพระธาตุศรีสองรักมีอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอระฆังและพระสงฆ์อยู่จำพรรษา 5 รูป แต่จำเลยทั้งสามยังเพิกเฉยทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าไปบำรุงปฏิสังขรณ์ให้พระสงฆ์เข้าไปอยู่จำพรรษาได้”

อุดร แสวงผล
อุดร แสวงผล

อุดร แสวงผล คณะกรรมการมูลนิธิพระธาตุศรีสองรัก และกรรมการพัฒนาพระธาตุฯ เผยว่า จากหลักฐานต่างๆและปฏิบัติพิธีกรรมวัฒนธรรมตลอดสี่ร้อยกว่าปี ไม่มีสิ่งใดแสดงว่าพระธาตุองค์นี้เคยเป็นวัดมาก่อน ทางเทศบาลตำบลด่านซ้ายในฐานะผู้ครอบครองที่ดินแทนกรมที่ดิน พร้อมเจ้าพ่อกวน เจ้าแม่นางเทียม...

...

จึงพร้อมแสดงตนเป็น “พยาน” ใน “คดี” ส่วนฝ่ายปกครองคือ ธนายุทธ ใยแก้ว นายอำเภอด่านซ้าย ที่เพิ่งย้ายจาก จ.หนองบัวลำภู มารับตำแหน่งเมื่อช่วงต้นปี ได้แสดงความเห็นตามวิสัยนักรัฐศาสตร์ว่า

“พระธาตุศรีสองรักจะเคยเป็นวัดตามสิ่งที่ผู้รับมอบอำนาจกล่าวอ้างถึงคำฟ้องหรือไม่ว่าเป็นวัดเพื่อจะได้เข้าไปดำเนินการต่อไป หรือไม่เคยเป็นวัดตามคำคัดค้านของฝ่ายมูลนิธิพระธาตุศรีสองรัก คงต้องรอการตัดสินชี้ขาดจากศาลประจำจังหวัดเลย ซึ่งขณะนี้ทราบว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนการสืบพยานทั้งสองฝ่าย”

นายอำเภอด่านซ้ายแจงรายละเอียด ในส่วนการรับบริจาคจากผู้มีจิตกุศลบำรุงพระธาตุ เดือนหนึ่งประมาณหนึ่งแสนห้าหมื่นถึงสามแสนบาท มีคณะกรรมการการเงินแต่งตั้งโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเลย  อาทิ  สรรพากรอำเภอ  เสมียนตราอำเภอ  ผู้อำนวยการ กองคลัง เป็นผู้ตรวจรับ

ธนายุทธ ใยแก้ว
ธนายุทธ ใยแก้ว

...

แล้วส่งมอบให้ธนาคารออมสินกับ ธ.ก.ส.สลับกันรับ โดยนายอำเภอเป็นประธาน สามารถอนุมัติวงเงินได้ไม่เกินสองหมื่นบาท แต่ต้องผ่านความเห็นชอบคณะกรรมการ

ปุจฉา? เรื่องนี้...ไม่ใช่สาระสำคัญเท่ากับการแย่งชิงชิ้นปลามัน จากดราม่าที่ดิน 106 ไร่ที่พระธาตุศรีสองรักประดิษฐานอยู่... หากแต่วิญญาณผีตาโขนด่านซ้ายคงจะเฮี้ยนหนักก็เที่ยวนี้แหละ.

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม