แฉซ้ำแชตหลุดประธานมูลนิธิหญิงแอบอ้างเสนอขายตำแหน่งเลขานุการ กมธ. เมื่อปี 63 ราคา 5 แสน แต่ สส. ลดให้เหลือแค่ 4 แสน เลขาธิการสภาฯเต้นผางออกโรงแจงระเบียบการแต่งตั้งเป็นดุลพินิจของ กมธ. ถ้าโยงไปถึงชุดไหนต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง เตรียมทบทวนเพิ่มความเข้มงวดมาตรการออกบัตรต่างๆ “อนุสรณ์” ปัด “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย นายกฯชี้ปัญหาใหญ่ยิ่งสาวยิ่งเจอ ต้องจัดการให้ถูกต้อง รมว.อว.สั่งตั้งกรรมการอีกชุดสอบข้อเท็จจริงซื้อขายวุฒิบัตร ม.พิษณุโลก พร้อมเช็กบิลย้อนหลังด้วย ด้าน “ต้นอ้อ” โพสต์ขอโทษทุกคนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขอโอกาสกลับมาทำงานช่วยเหลือสังคมต่อ ยินดีปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดไม่ให้เกิดขึ้นอีก

กลายเป็นประเด็นร้อนสะเทือนวงการศึกษาและแวดวงการเมือง หลังจาก น.ส.วิไลลักษณ์ ไชยชาญ อายุ 42 ปี หรือ “ซ้อลักษณ์” แฉพฤติกรรม น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง กล่าวหาว่าหลอกลวงแอบอ้างขายวุฒิการศึกษาปริญญาตรีราคา 200,000 บาท และยังเสนอซื้อขายตำแหน่งในรัฐสภา เดินหน้าแจ้งความดำเนินคดี 3 คนร่วมกันฉ้อโกง ฝ่าย “ต้นอ้อ” ชี้แจงว่าไม่เป็นเรื่องจริง อ้างข่าวบิดเบือนจนเสียหาย เตรียมฟ้องกลับ เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยพิษณุโลกก็แถลงยืนยันว่าไม่มีการขายวุฒิการศึกษา สั่งตั้งกรรมการสอบพบมีเจ้าหน้าที่ 1 คน มีส่วนเกี่ยวข้องทำผิดวินัยร้ายแรงทุจริตต่อหน้าที่ ให้เลิกสัญญาจ้างพร้อมแจ้งความดำเนินคดีด้วย

ความคืบหน้าเมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 ก.ค. เกิดเรื่องฉาวซ้ำมีแชตหลุดข้อความการสนทนาติดต่อซื้อขายตำแหน่งเลขานุการกรรมาธิการ ในกลุ่มไลน์ของผู้สื่อข่าวมีการส่งภาพแชตการสนทนาของประธานมูลนิธิหญิงคนหนึ่งกับสาวคนสนิท แชตคุยกันผ่านไลน์ตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค.63 เป็นข้อความชักชวนให้มารับตำแหน่งเลขานุการกรรมาธิการ โดยระบุว่าตำแหน่งดังกล่าวได้เงินเดือนน้อย แต่ได้รับเครื่องราชฯและเข้าประชุมในสภาทุกอาทิตย์ อีกฝ่ายสอบถามระยะเวลาที่จะดำรงตำแหน่ง ได้รับคำตอบว่า 4 ปียาวๆ มีภาพถ่ายโชว์บัตรประจำตำแหน่งพร้อมข้อความชักชวนถึงขนาดบอกว่าปีเดียวก็คุ้มแล้วจะมีบัตรแบบนี้ให้และอยู่จนครบวาระของรัฐบาล ที่สำคัญยังมีการบอกราคาว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ มีข้อความหว่านล้อมว่า “ปกติเขาเรียก 5 แสน จะต่อหน้าห้องให้ สส.เขาเอาแค่ 4 แสนเอง มันบวกกันไง”

...

ที่รัฐสภา ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการซื้อขายตำแหน่งในคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร และการซื้อบัตรจอดรถในสภา ว่า ต้องแยกเป็น 2 ส่วนคือ การขอบัตรจอดรถ อยู่ในอำนาจสำนักรักษาความปลอดภัย กลั่นกรองคุณสมบัติการออกบัตรจอดรถให้มีระเบียบวิธีการอยู่ เชื่อว่าผู้ปฏิบัติงานมีความซื่อตรงอยู่ในระเบียบ กรณีที่มีการกล่าวหานั้นจะสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวข้องกับใครบ้าง ส่วนเรื่องตำแหน่งใน กมธ. เป็นการแต่งตั้งโดยคณะกรรมาธิการที่มีระเบียบรองรับตามรัฐธรรมนูญ เชื่อว่า กมธ.แต่ละคณะตั้งบุคคลต่างๆด้วยความสุจริต การตรวจสอบจึงเป็นดุลพินิจของ กมธ. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแค่ออกคำสั่งแต่งตั้งตามที่ กมธ.แต่ละคณะเสนอ ถ้ากรณีซื้อขายตำแหน่งไปเกี่ยวข้องกับ กมธ.ชุดใด แต่ละคณะจะสอบสวนหาข้อเท็จจริง เป็นดุลพินิจ กมธ.นั้นๆ

เมื่อถามว่าฝ่ายข้าราชการประจำต้องตรวจสอบก่อนเซ็นตั้งตำแหน่งต่างๆใน กมธ.หรือไม่ ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์กล่าวว่า ฝ่ายประจำจะเสนอตามที่ กมธ.แต่ละคณะเสนอมา ต้องเคารพดุลพินิจ กมธ. อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้อาจทบทวนเพิ่มมาตรการตรวจสอบการออกบัตรต่างๆให้เข้มงวดขึ้น แต่ขณะนี้ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏชัดว่าเป็นการกระทำของใคร เป็นแค่ข้อกล่าวหา เรื่องสิทธิประโยชน์เข้าออกสภาเป็น เรื่องที่ทุกคนอยากได้สิทธิพิเศษนี้ แต่เชื่อว่ากระบวนการ กลั่นกรองมีความเข้มงวด ทราบว่าเป็นเรื่องอ่อนไหว ต้องตรวจสอบ จะกำชับให้ตรวจสอบอย่างรอบคอบ

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงข้อความในแชตไลน์เกี่ยวกับการซื้อขายตำแหน่ง กมธ.ในสภาผู้แทนราษฎร ว่า คิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความเข้าใจผิดระหว่างผู้อ้างตัวเป็นผู้ซื้อและผู้ขาย รวมถึงผู้อ้างเป็นตัวกลางหรือเป็นนายหน้า ข้อเท็จจริงคือตำแหน่งเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ ตั้งมาเพื่อทำงานในกรรมาธิการ ตั้งแล้วต้องมาทำงาน และตั้งคนที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องนั้นๆ เปิดช่องให้ตั้งบุคคลภายนอกได้

เมื่อถามว่าคนที่ถูกแอบอ้างคือ น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือต้นอ้อ เป็นหนึ่ง มีความเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายอนุสรณ์ตอบว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใดหรือคนไหน เมื่อเรื่องเข้าสู่การพิจารณาชั้นศาลแล้วความจริงจะปรากฏ คนที่ไปแอบอ้างว่ามีตำแหน่งพร้อมจะขายและคนที่บอกว่าจะซื้อ รวมถึงคนแอบอ้างเป็นนายหน้าล้วนเกิดจากความไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจจะใช้คำว่าหลอกลวงหรือเข้าใจผิดก็เป็นสิทธิที่จะใช้ได้ ขอย้ำเจตนารมณ์หลักการตั้งเลขานุการคณะกรรมาธิการคือมาช่วยทำงานร่วมกับประธานและ กมธ. เชื่อว่าเรื่องนี้ในวิกฤติเป็นโอกาสที่จะเป็นช่องทางหาข้อเท็จจริงว่า สิ่งที่กล่าวหากันมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐ มนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีมีข่าวการซื้อขายบัตรผู้ติดตามภายในทำเนียบรัฐบาลพบว่ายิ่งสาวยิ่งเจอ จำเป็นต้องมาดูใหม่ทั้งหมดหรือไม่ว่า ถ้าหากยิ่งสาวยิ่งเจอก็แสดงว่าเป็นปัญหาใหญ่ ต้องบริหารจัดการให้ถูกต้อง เมื่อถามว่าต้องให้มีการพิจารณาผู้ติดตามรัฐมนตรี หรือผู้ติดตามที่ปรึกษาต่างๆหรือไม่ เพราะบางครั้งเยอะเกินความจำเป็น นายกฯกล่าวว่า เวลาลงพื้นที่จะบอกว่าให้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะจะเป็นการสิ้นเปลืองงบฯและทำให้เสียโอกาส สมมติว่าเป็นอธิบดีต่างๆก็อาจเสียโอกาสบริหารงาน ตนเห็นด้วยอยู่แล้ว ไปเฉพาะที่จำเป็นดีกว่า ต่อข้อถามว่าการออกบัตรต้องมีมาตรการเข้มงวดมากขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องไปดูก่อนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร แล้วหาทางแก้อีกที การออกบัตรที่เข้มข้นเป็นหนึ่งในวิธี และการกำหนดโทษก็เป็นอีกวิธีหนึ่งเหมือนกัน

น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยความคืบหน้ากรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องการซื้อขายปริญญาบัตรจากมหาวิทยาลัยพิษณุโลกซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ล่าสุดทางมหาวิทยาลัยแจ้งว่ามีบุคลากร 1 คนมีส่วนเกี่ยวข้องในการร่วมขบวนการดังกล่าว ได้บอกเลิกสัญญาจ้างและจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไปว่า กระบวนการถัดจากนี้ กระทรวง อว.ได้แจ้งไปยังกรรมการสภาสถาบันผู้ทรงคุณวุฒิ ตามมาตรา 28 (4) แห่งพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 เป็นกรรมการสภาที่เป็นผู้แทนกระทรวง อว. 3 คน ให้คอยติดตามข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและรายงานมายังสำนักปลัดกระทรวง อว. ขณะเดียวกัน กระทรวง อว. จะแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงอีก 1 ชุด เข้ามาร่วมดำเนินการเรื่องนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

...

“ทั้งนี้ ในช่วงเดือน เม.ย.2566 ถึง พ.ค.2567 มหาวิทยาลัยพิษณุโลกยังอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวง อว. เนื่องจากทำผิดระเบียบการขอตำแหน่งทางวิชาการ เพิ่งยกเลิกการควบคุมไปเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าการออกปริญญาบัตรที่ไม่ถูกต้องในช่วงเวลาดังกล่าวไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะกระทรวง อว. ควบคุมอย่างใกล้ชิด แต่อย่างไรก็ตาม กระทรวง อว.จะดำเนินการตรวจสอบย้อนหลังไปก่อนช่วงเวลาที่ได้มีการควบคุมด้วย” น.ส.ศุภมาสกล่าว

ส่วนความเคลื่อนไหวของ น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “ก่อนอื่นเลย อ้อต้องกล่าวคำว่า “ขอโทษ” ประชาชนผู้ติดตามทุกท่าน สื่อสังคม มูลนิธิเป็นหนึ่งและสมาชิกทุกท่าน และบุคคลใดที่ได้รับผลกระทบ, Fc ของอ้อทุกคนกับข่าวที่ออกไป ณ ขณะนี้ ในส่วนนี้ใครที่คิดว่าอ้อทำผิดก็สามารถไปดำเนินการตามกฎหมายได้ อ้อพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และหลังจากนี้อ้อขอโอกาสกลับมาทำหน้าที่เพื่อช่วยเหลือสังคม เด็ก สตรี ศาสนาฯ และจะไม่ทำให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก จะปรับปรุงในสิ่งที่ผิดพลาดและเดินหน้าแก้ไขในจุดที่บกพร่องของตัวอ้อเอง ขอเดินหน้าทำงานต่อค่ะ กราบขอโทษจากหัวใจค่ะ”

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่