ช้างไทยในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 4,000 ชีวิต กำลังเผชิญปัญหาสวัสดิภาพถูกบังคับให้แสดงโชว์–ขี่ช้าง ขัดความเป็นธรรมชาติ จนถูกมองเป็นการทารุณ ส่งผลกระทบภาพลักษณ์ประเทศมาตลอด

แม้ที่ผ่านมา “รัฐบาล” จะพยายามแก้ปัญหานี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังปรากฏข่าว “การทำร้ายช้างไทยผ่านสื่อเป็นระยะ” ส่วนหนึ่งเพราะประเทศ ไทยมีธุรกิจปางช้างและกิจกรรมท่องเที่ยวเกี่ยวกับช้างอยู่จำนวนมาก ตามข้อมูล “สนง.มาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)” ที่เคยระบุปางช้างทั่วประเทศมีอยู่ 250 ปาง

แบ่งเป็นปางช้างขนาดเล็กมีช้างไม่เกิน 10 เชือก 200 ปาง ขนาดกลางมีช้าง 11-30 เชือก 40 ปาง ขนาดใหญ่มีช้าง 30 เชือก 10 ปาง มีทั้งปางช้าง แบบดั้งเดิม ปางช้างท่องเที่ยวนิเวศ ปางช้างพิการ ปางช้างผสมผสาน ทำให้บางส่วนขาดความเข้าใจ “การจัดการควบคุมดูแลช้างที่ถูกต้อง” จนเกิดปัญหาสุขภาพการทารุณกรรมตามมา

เหตุนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาให้สอดรับการประกอบกิจการปางช้าง นำมาสู่ “การร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรในการปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้างเป็นมาตรฐานบังคับ...” โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 19 ส.ค.2565 และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 ส.ค.2567 เป็นต้นไป

...

เพื่อปรับปรุงการจัดการควบคุมดูแลการเลี้ยงช้างให้ถูกต้องเหมาะสม “เป็นไปตามหลักสวัสดิภาพของสัตว์” ในการแก้ไขปัญหาการทารุณกรรมช้าง และยกระดับมาตรฐานปางช้างไทยครอบคลุมประเด็นต่างๆ

ผศ.ดร.สพ.ญ.ภัคนุช บันสิทธิ์
ผศ.ดร.สพ.ญ.ภัคนุช บันสิทธิ์

นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ “เกี่ยวกับกฎหมายสัตว์ในไทย” สำหรับเนื่องในวันช้างไทย 13 มีนาคม 2567 นี้ ในเรื่องนี้ ผศ.ดร.สพ.ญ.ภัคนุช บันสิทธิ์ รอง ผอ.ศูนย์สุขภาพช้างและสัตว์ป่า รพ.สัตว์ ม.เชียงใหม่ บอกว่า เหตุการณ์ช้างถูกทำร้ายยังเห็นผ่านสื่ออยู่เรื่อยๆ ด้วยกิจกรรมการท่องเที่ยวเกี่ยวกับช้างมักถูกมองเป็นการทารุณกรรม

แต่เท่าที่ทำงาน “ด้านการดูแลสุขภาพและสวัสดิภาพช้าง” ต้องลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมรักษาช้างป่วยมา 10 ปีนั้น ภาครัฐมิได้ปล่อยปละละเลยเพิกเฉยกับกระแสการทารุณกรรมช้างแต่อย่างใด และมีการรวบรวมข้อมูลนำมาถอดบทเรียนเข้าช่วยเหลือให้คำแนะนำ “ควาญช้าง และปางช้าง” ในการจัดการเลี้ยงดูให้ถูกต้องอยู่ตลอด

ขณะที่ปางช้างก็ให้ความร่วมมือพัฒนาจัดการปางช้าง บุคลากร สุขภาพช้าง สวัสดิภาพสัตว์ให้ดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในปางช้างหลายแห่ง แต่ก็อาจมีส่วนน้อยที่หลุดระบบปฏิบัติกับช้างที่ไม่เหมาะสม

โดยเฉพาะในช่วง “โควิด–19 กระทบต่อการท่องเที่ยวไทย” จนไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าในประเทศ ทำให้ช้างในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต้องเผชิญกับความลำบากจาก “เจ้าของปางขาดรายได้” ไม่สามารถเลี้ยงดูช้างจนผอมโซขาดอาหาร “ควาญช้าง” ต้องพยายามนำหญ้าที่พอหามาได้ให้ช้างประทังชีวิตในแต่วัน

ส่วนใหญ่มัก “เป็นอาหารปลูกที่ไม่เหมาะสม มีสารเคมีเจือปน” ทำให้ช้างท้องเสียท้องอืดกระทบต่อสุขภาพ จนกระทั่ง บ.วิริยะประกันภัยจำกัด (มหาชน) เข้ามาริเริ่มโครงการปลูกพืชอาหารช้างคุณภาพเพื่อความยั่งยืนในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ด้วยการทำแปลงสาธิตการปลูกหญ้าเนเปียร์ เพื่อให้เกษตรกรมาเรียนรู้วิธีการปลูกหญ้าที่มีคุณภาพ

ทั้งอบรมวิธีปลูก การตัดระยะเวลาที่เหมาะสม “เพื่อให้หญ้ามีคุณค่าทางอาหารสูง” แล้วยังถ่ายทอดความรู้ต้นทุนแก่เกษตรกรรายใหม่ “มีรายได้ในการปลูกหญ้า” เพราะช้างต้องกิน 200-300 กก./เชือก/วัน ดังนั้นปางช้างต้องพึ่งพาเกษตรกรผลิตอาหาร “ถ้าชุมชนใกล้เคียงปลูกได้” นอกจากช้างมีอาหารพอยังช่วยให้ชุมชนมีรายได้ด้วย

...

 ถัดมาเมื่อ “โควิด–19 คลี่คลาย” การท่องเที่ยวยังฟื้นไม่เต็ม 100% ปางช้างก็ยังไม่มีรายได้ที่จะเลี้ยงช้างจนสวัสดิภาพแย่ลง แม้แต่ “ช้างป่วยก็ไม่มีเงินรักษา” ทำให้ รพ.สัตว์ มช.จึงต่อยอดคลินิกสัตวแพทย์เคลื่อนที่ภายใต้โครงการบริการสุขภาพและสวัสดิภาพของช้างเลี้ยงในพื้นที่ภาคเหนือ ที่ช่วยเหลือช้างป่วยฉุกเฉิน โดยเฉพาะปางช้างขนาดเล็ก และขนาดกลางที่ไม่มีสัตวแพทย์ประจำ

เพื่อเปิดช่องทางสำหรับ “การช่วยเหลือช้างป่วย” ที่มักออกตรวจตามการแจ้งจากปางช้าง ถ้าหากประเมินอาการพบว่า “ช้างป่วยหนัก” ก็จะประสานสถาบันคชบาลแห่งชาติ จ.ลำปาง รับตัวไปรักษาต่อไป

กระทั่งในปี 2565 “การท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวดีขึ้น” ธุรกิจกิจกรรมการท่องเที่ยวเกี่ยวกับช้างเริ่มกลับมาคึกคัก “ควาญช้างเคลื่อนย้ายช้างกลับมาทำงานที่ปางช้างอีกครั้ง” เพื่อรองรับการเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศ และก็มาพร้อมกระแสกับคำว่า “แวลแฟร์ (welfare)” สวัสดิการความเป็นอยู่ช้าง

เรื่องนี้ปางช้างตื่นตัวกับสภาพความเป็นอยู่ของช้างมาก แม้แต่ “รัฐบาล” พยายามเข้ามายกระดับการปฏิบัติในปางช้างด้วยการส่งเสริมการดูแลช้างตามหลักวิชาการ “ลดการเลี้ยงดูไม่เหมาะสม” เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยที่ออกกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้างเป็นมาตรฐานบังคับที่จะมีผลในเดือน ส.ค.นี้

จากนั้น ปางช้างทั่วประเทศต้องถูกบังคับให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดจาก “มกอช.และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เป็นหน่วยดูแลเรื่องนี้ครอบคลุมปางช้าง และองค์ประกอบปางช้าง การจัดการ บุคลากร สุขภาพช้าง สวัสดิภาพสัตว์ สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย การบันทึกข้อมูล เพื่อให้ช้างมีสุขภาพดี คำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์เป็นหลัก

...

อย่างเช่นการจัดการด้านอาหารและน้ำเพียงพอ ทำความสะอาดที่พักให้ถูกต้อง “ลักษณะจัดการสุขภาพช้างให้เป็นรูปธรรมชัดเจน” เพื่อตอบรับกระแสสวัสดิภาพสัตว์เป็นมาตรฐานที่จะพัฒนาเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

ประเด็นนี้นำมาสู่ “คุณวุฒิวิชาชีพควาญช้าง”  ภายใต้โครงการส่งเสริมสมรรถนะควาญช้างและผู้ดูแลช้างอันเป็นหลักสูตรมาจากสถาบันคชบาลแห่งชาติ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ศูนย์สุขภาพช้างและสัตว์ป่า รพ.สัตว์ มช. ร่วมกันร่างขึ้นให้ควาญช้างทั่วประเทศเข้ารับการทดสอบความรู้ทักษะการดูแลเลี้ยงช้าง และประเมินในแต่ระดับ

เสมือนเป็นใบอนุญาตประกอบอาชีพในการยกระดับวิชาชีพควาญมีความก้าวหน้าให้เกิดความภูมิใจ “สามารถดูแลช้างอย่างมีประสิทธิภาพเป็นระบบ” สอดรับกฎกระทรวงมาตรฐานปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้าง

ซึ่งจะมี 5 ระดับ คือ ระดับ 1 พื้นฐานเลี้ยงช้าง ระดับ 2 รู้ทักษะการดูแลเลี้ยงช้าง จัดเตรียมอาหาร และน้ำให้ช้างเพียงพอ ระดับ 3 มีทักษะควบคุมช้างทำตามคำสั่ง และมีความรู้อุปนิสัยอารมณ์พฤติกรรมช้างแต่ละช่วงวัย ระดับ 4 มีทักษะการฝึกควบคุมช้างบนพื้นขณะเดินด้วยกัน หรือแสดงท่าทางสื่อสารกับช้างในระยะสายตาได้

...

ระดับ 5 มีทักษะภูมิปัญญาควาญช้างในท้องถิ่น อธิบายลักษณะการเลี้ยงช้าง และดูช้างมงคล และอัปมงคลในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ และสามารถใช้สมุนไพรดูแลรักษาช้างเบื้องต้นได้

ข้อดีคุณวุฒิวิชาชีพนี้ “ปางช้าง” มีเครื่องการันตีว่า ควาญช้างผ่านการทดสอบมาตรฐานแล้ว “ควาญช้าง” ก็ยกระดับต่อรองเงินตอบแทนการสมัครงานได้ “เกิดความมั่นคงยั่งยืนในอาชีพ” ด้วยการสอบคุณวุฒิวิชาชีพนี้

ดังนั้น คุณวุฒิวิชาชีพควาญช้าง “จะช่วยพัฒนาบุคลากร และการรับรองสมรรถนะควาญช้างให้ได้ตามมาตรฐานอาชีพ” สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการเลี้ยงช้าง และเกิดความเชื่อมั่นว่า ควาญช้างสามารถดูแลช้างโดยปราศจากการทารุณกรรม เพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตานักท่องเที่ยวเกี่ยวกับการเลี้ยงช้างไทย

เรื่องสำคัญคือ “สร้างอาชีพให้ควาญช้างรุ่นใหม่” ในการช่วยอนุรักษ์ภูมิปัญญาควาญช้างนำไปสู่การอนุรักษ์วัฒนธรรม การเลี้ยงช้างไทย และเชิดชูยกอาชีพควาญช้างให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ แล้วที่ผ่านมามีผู้สอบผ่านระดับ 2 ทั้งทฤษฎี-ปฏิบัติ 32 คน ที่จะมีพิธีมอบใบประกาศคุณวุฒิวิชาชีพควาญช้าง วันที่ 13 ม.ค.2567

สุดท้ายฝากไว้ว่า “คนไทยต้องช่วยกันอนุรักษ์ช้างไทย” ทำได้หลายรูปแบบทั้งการท่องเที่ยวอุดหนุนกิจการปางช้างที่ผ่านมาตรฐานในการปฏิบัติที่ดีสำหรับ ปางช้าง ทั้งให้ความชื่นชมควาญช้างผ่านการทดสอบคุณวุฒิวิชาชีพ และต้องตรวจสอบกระแสข่าวเกี่ยวกับการทารุณกรรมสัตว์ก่อนแชร์ข้อมูลผ่านสื่อก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก

นี่คือจุดเริ่มต้นพลิกโฉม “กฎหมายสวัสดิภาพสัตว์ฉบับแรก” สู่การ พัฒนาระบบ ยกระดับปางช้าง และควาญช้างมีมาตรฐาน “ลดปัญหาทารุณกรรมสัตว์” ในการส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย.

คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม