คุยกับ "อนาลโย" นักวิชาการวิเคราะห์ปมล้มดีล "เรือดำน้ำ" เสนอ "เรือฟริเกต" ทดแทน สุดท้ายแล้วใครได้ใครเสีย พร้อมเผยไม่น่าใช่ทางออกที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

วันที่ 23 ต.ค. 2566 ใน "NewsRoom" รายการทอล์กคุยข่าวใหญ่ ทางไทยรัฐออนไลน์ ดำเนินรายการโดย คิงส์ พีระวัฒน์ อัฐนาค และ กาย พงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ วันนี้เป็นการพูดคุยกันในประเด็นของ ล้มดีล "เรือดำน้ำ" เสนอ "เรือฟริเกต" ทดแทน ใครได้ใครเสีย?

คุณอนาลโย กอสกุล บรรณาธิการเว็บไซต์ thaiarmedforce.com เผยว่า กองทัพเรือมีความต้องการเรือดำน้ำ หลังจากไม่มีมา 70-80 ปี ตั้งแต่สงครามโลก ตอนนั้นมีการประมูลแข่งกันหลายประเทศทั้ง เยอรมนี, สวีเดน, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, เกาหลี แต่สุดท้ายแล้วจีนเป็นผู้ชนะ และข้อเสนอที่จีนให้ คือนอกจาก 2 แถม 1 แล้ว คือเรือดำน้ำจะต้องติดเครื่องยนต์เยอรมนี เป็นเครื่องยนต์ที่จีนก็ใช้เหมือนกัน แต่ปีที่แล้วเยอรมนีเขามีปัญหาทางการเมืองในประเทศ และไม่ขายเครื่องยนต์ให้กับจีน เพราะผูกติดข้อห้ามเรื่องจีนละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่เราดันเซ็นไปก่อนทำให้ไม่มีเรือดำน้ำใช้มาจนถึงทุกวันนี้

...

เรือฟริเกต พูดง่ายๆ คือเรือรบที่อยู่บนน้ำ สามารถทำการรบได้ 3 มิติ คือ รบบนฟ้า รบบนน้ำ และ รบใต้น้ำ ได้ด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรือรบหลักของกองทัพเรือทั่วไป ซึ่งประเทศไทยของเรามีอยู่ 5 ลำ ซึ่งเรือฟริเกตของเรามีทั้งสั่งซื้อมาจากจีน คือ เรือตากสิน, เรือนเรศวร, เรือกระบุรี และ เรือสายบุรี ส่วนสั่งซื้อจากเกาหลีคือ เรือภูมิพล ซึ่งจะต่างกันที่อาวุธ, เครื่องยนต์ แต่ฟังก์ชั่นการใช้งานก็จะคล้ายๆ กัน

แต่ปัญหาที่เราต้องพิจารณาว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นเรือฟริเกตจีน ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเรือที่ชื่อว่า Type 054A มันจะมีปัญหาหรือความเข้ากันได้กับเรือฟริเกตที่ใช้อยู่หรือเปล่า เพราะระบบ Type 054A เป็นระบบที่กองทัพเรือไม่เคยใช้งานเลย ทั้งจรวด เรดาห์ กระสุนปืน ระบบสื่อสาร เข้ากับระบบของกองทัพเรือไทยไม่ได้เลย ฉะนั้นจะทำให้เป็นเรือแยกออกมาลำเดียว จะคุยและสื่อสารกันไม่ได้ อาจจะเป็นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะเข้ากับเพื่อนที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ อาจจะต้องลงทุนใหม่เพิ่มหลักพันล้าน

ถ้าเรือฟริเกตลำนี้ ดูจากราคาที่ปากีสถานซื้อรุ่นเดียวกัน อยู่ที่ประมาณหมื่นสามพันล้าน แต่ถ้าอ้างอิงจากที่คุณสุทินพูด จะอยู่ที่ประมาณหมื่นสี่พันล้านถึงหมื่นเจ็ดพันล้าน เรือหลวงภูมิพลที่สั่งต่อจากเกาหลีล่าสุดที่เรามี ราคาก็อยู่ที่หมื่นห้าพันล้าน ซึ่งราคามันก็อยู่ที่ประมาณนี้ แต่ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือทำไมเรือที่เราซื้อถึงแพงกว่าของปากีสถาน อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

เมื่อถามว่า เรือฟริเกตมันคุ้มค่า มีประสิทธิภาพพอจะทดแทนเรือดำน้ำได้มั้ยนั้น คุณอนาลโย เผยว่า เหตุผลที่มีเรือดำน้ำคือเหตุผลหนึ่ง เหตุผลที่มีเรือฟริเกตก็คืออีกเหตุผลหนึ่ง สังเกตว่ากองทัพเรือหลายประเทศทั่วโลกก็มีทั้งคู่ ดังนั้นมันมีเหตุผลของมันอยู่ จะทดแทนได้มั้ย อาจจะไม่ได้ 100% แต่มันก็มีฟังก์ชั่นบางอย่างทดแทนได้บ้าง แต่ถ้าจะให้พูดว่ามีเรือดำน้ำไม่ต้องมีเรือฟริเกต หรือ มีเรือฟริเกตไม่ต้องมีเรือดำน้ำนั้น อาจจะไม่ได้ เพราะมันแทนกันไม่ได้ 

สำหรับความสมดุลที่ต้องมีเรือดำน้ำและเรือฟริเกตนั้น กองทัพเรือได้คิดมาแล้ว ว่ากำลังรบของประเทศไทยที่ต้องมีเรือฟริเกต 8 ลำ แต่ตอนนี้มีอยู่ 5 ลำแล้ว ฉะนั้นยังขาดอีก 3 ลำ และต้องการมีเรือดำน้ำ 2 ลำ ซึ่งก็อาจจะต้องหาซื้อกันต่อไป

เมื่อถามว่า เรือฟริเกตถ้าหากไม่มีสงครามเลย ต้องใช้เวลานานแค่ไหนก่อนปลดประจำการนั้น ปกติมาตรฐานของไทยคือใช้แค่ 40-50 ปี ก็ใช้ได้นานอยู่ แต่ว่าปกติแล้วถ้าเป็นประเทศอื่นที่เขาเปลี่ยนกันบ่อยๆ 30 ปีเขาก็จะเปลี่ยนแล้ว 

ส่วนเรื่องที่โพสต์เฟซบุ๊กว่า เละเทะมาก เมื่อกลาโหมและกองทัพเรือจับมือกันเปลี่ยนเรือดำน้ำเป็นเรือฟริเกต จะสร้างปัญหาใหม่ให้กองทัพเรือและเป็นการให้ประชาชนรับกรรมแทนนั้น คือในกรณีนี้ เรือดำน้ำมีเครื่องยนต์เยอรมนี เราลงนามกันแบบนี้ และที่ผ่านมาเราจัดหาไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่ความผิดของไทย และไม่ใช่ความผิดของกองทัพเรือ แต่เป็นความผิดของซัพพลายเออร์ ไม่ว่าเขาจะต้องใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ซึ่งเวลาปกติใครทำมาค้าขายกับราชการถ้าผิดสัญญาแบบนี้ มันต้องมีการรับผิดชอบกันไป เช่น ยกเลิกสัญญาหรือมีค่าปรับ อาจจะต้องมีการชดเชยต่างๆ 

แต่กรณีนี้ นอกจากเราจะไม่ปรับจีน ไม่เรียกร้องการชดเชย เรายังจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อของที่แพงกว่าเดิมคือ เรือฟริเกต เพราะเรือดำน้ำราคาหนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยล้าน แต่เรือฟริเกตหนึ่งหมื่นเจ็ดพันล้าน มีส่วนต่างอยู่หลายพันล้าน ถ้าจะบอกว่าเกรงใจจีน อยากรักษาความสัมพันธ์ มันมีทางเลือกอื่นที่จะดำเนินการได้ มันไม่น่าจะใช่ทางเลือกที่ว่าจะเพิ่มเงินอุ้มซัพพลายเออร์หรือเอาใจจีนแบบนี้ คิดว่ามันไม่น่าใช่ทางออกที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

...

อย่างไรก็ตาม สำหรับเรือดำน้ำเราพูดมาตลอดว่ามีความจำเป็นในระดับหนึ่ง เพราะเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียนแล้วเราไม่มี ถ้าทุกคนมีแต่เราไม่มี มันเป็นช่องว่างทางกำลังรบขนาดใหญ่ เพียงแต่ว่าการจะมีไม่ใช่สักแต่ว่าจะมีหรือมีอะไรก็ได้ มันต้องมีให้ถูกต้อง เพราะโครงการเรือดำน้ำเป็นโครงการที่ใหญ่มาก มีมูลค่ากว่าแสนล้านทุกประเทศมูลค่าเท่านี้ทั้งนั้น ดังนั้นมันมีความซับซ้อนของมันอยู่ ซึ่งเรือดำน้ำมันเปรียบเสมือนยานอวกาศที่อยู่ใต้น้ำ ความซับซ้อนทางเทคโนโลยี ความยากในการใช้งาน ความยากในการซ่อมบำรุงมันสูงที่สุดในกองทัพเรือแล้ว ถือเป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณา ฉะนั้นคือควรมีและต้องมีให้ถูกต้อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้ และมีของที่มีประสิทธิภาพที่แท้จริง

ทางด้าน คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคก้าวไกล ประธานกรรมธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร เผยว่า หลายคนพูดถึง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง แต่ตนก็ยืนยันว่าการซื้อแบบจีทูจี คือระหว่างรัฐต่อรัฐ มันก็จะได้รับการยกเว้นจาก พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง แต่อย่างไรก็ตามเวลาที่เราจะพูดคุยกันในเรื่องนี้ พื้นฐานที่สุดกองทัพเรือควรจะเปิดสัญญา ว่าตกลงแล้วค่าปรับมันเป็นอย่างไร หรือการชดเชยจากการเสียหายมันเป็นอย่างไร ซึ่งตรงนี้มันก็จะชัดเจนที่สุด โดยปกติแล้วถ้าเขาไม่สามารถทำตามข้อตกลงได้ ก็คือการผิดสัญญา แต่มันแปลกตรงคำว่าผิดสัญญาเรายังไม่กล้าพูดเลย ณ วันนี้เราต้องบอกแล้วว่าบริษัทของจีนไม่สามารถทำตามที่ตกลงกันได้ ก็คือผิดสัญญานั่นแหละ

...

เชื่อว่าจีนก็คงไม่อยากให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้น แต่โดยปกติแล้วเงินที่จ่ายไปล่วงหน้าเจ็ดพันล้านบาท ควรจะต้องขอคืนได้ ส่วนเรื่องชดเชยค่าปรับก็ต้องดูในสัญญา แต่อย่างน้อยๆ มันมีความเสียหายเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินในการฝึกอบรม งบประมาณอื่นๆ ที่ตั้งเอาไว้เพื่อค่อยสนับสนุนภารกิจเรือดำน้ำในวงเงินหนึ่งหมื่นหนึ่งพันล้าน

ฉะนั้นกลาโหมและกองทัพเรือควรจะต้องชี้แจงก่อน ว่าเงินได้ใช้ไปแล้วเท่าไร อันนี้คือมูลค่าความเสียหาย ส่วนเรื่องเคลมได้ไม่ได้จะได้ชดเชยเท่าไร อันนั้นเป็นอีกเรื่องอยู่ที่เจรจา พื้นฐานที่สุดคือความโปร่งใส ตอนนี้เรื่องเรือดำน้ำกลายเป็นเรื่องสาธารณะไปแล้ว เรื่องที่เสียแล้วเสียไป แต่สิ่งที่ได้ชดเชยมามันต้องเกิดคุณูปการกับประเทศมากกว่า แบบนี้เชื่อว่าประชาชนรับได้

อย่างไรก็ตาม ติดตาม "NewsRoom" สดทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.30-19.30 น. ทางยูทูบไทยรัฐออนไลน์ และเฟซบุ๊กไทยรัฐออนไลน์.