นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคที่พบบ่อยในช่วงฤดูฝน ส่วนมากมักเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไข้ไวรัสอาร์เอสวี (RSV) ซึ่งทำให้มีหลอดลมอักเสบปอดอักเสบติดเชื้อหรือปอดบวม รวมถึงโรคมือเท้าปาก และโรคไข้เลือดออก สาเหตุการติดเชื้อมาจากการสูดหายใจเอาละอองหรือสัมผัสสารคัดหลั่งที่มีเชื้อโรคเกาะอยู่ เช่น น้ำมูก หรือน้ำลาย อาการของโรคไข้ไวรัสอาร์เอสวี (RSV) มักจะมีอาการไอ น้ำมูกไหล คัดจมูก รับประทานอาหารได้น้อย หลัง จากนั้น 1-3 วัน อาจมีอาการไอมากขึ้น ไข้ หายใจเสียงดังหรือหายใจลำบากได้หากอาการรุนแรงมากขึ้น สำหรับโรคมือเท้าปากนั้น มีอาการเด่นที่ผิวหนังคือ มีตุ่มนูนแดง หรือเป็นตุ่มน้ำใส พบมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และในช่องปาก เด็กมักมีไข้สูง ไม่ยอมรับประทานอาหาร เพราะรู้สึกเจ็บตุ่มแผลในช่องปากหรือกระพุ้งแก้ม ส่วนโรคไข้เลือดออก เด็กมักมีอาการไข้สูงนำมาก่อนอาการอื่น อาจพบหน้าแดงตัวแดงผิดปกติ และอาจพบอาการระบบทางเดินอาหารได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว ปวดท้องที่ชายโครงขวา เป็นต้น
นพ.อัครฐาน จิตนุยานนท์ ผอ.สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวว่า การป้องกันโรคที่มาในหน้าฝนนั้น ผู้ปกครองดูแล ลูกหลานได้โดยการให้สวมหน้ากากอนามัย และล้างมืออย่างสม่ำเสมอควรสวมเสื้อผ้าเพื่อรักษาร่างกายให้อบอุ่น และออกกำลังกายที่เหมาะสมตามวัยเพื่อให้ร่างกายลูกมีภูมิต้านทานโรค เนื่องจากสภาพอากาศหน้าฝน จะมีความชื้นสูงและหนาวเย็น จึงทำให้ร่างกายเด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจได้ง่าย ที่สำคัญควรกำจัดน้ำขังในบ้าน ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุงลาย หากพบว่าเด็กมีไข้สูง 2 ถึง 3 วัน และอาการไม่ดีขึ้น หรือกินไม่ได้ ซึมลง นอนไม่ได้ หายใจหอบเหนื่อย ควรพาไปพบแพทย์.
...