โรงเรียนกฎหมายและการเมือง เผยผลการวิจัย คลอดนวัตกรรม คู่มือไกล่เกลี่ย - บำบัดเยาวชน กระทำผิดซ้ำ ในคดีอาญา ยึดหลักปฏิบัติ 5 ประการ

วันที่ 6 ก.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการประชุมถ่ายทอดผลการวิจัย "การจัดทำแผนแก้ไขบําบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดซ้ำในคดีอาญาด้วยกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท" โดย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ร่วมกับโรงเรียนนายร้อยตำรวจ


รศ.ดร.ธนภัทร ปัจฉิมม์ คณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ในฐานะหัวหน้าโครงการ กล่าวว่า สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้มอบทุนสนับสนุนงานวิจัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยงานวิจัยนี้ได้ผลผลิตที่เป็นนวัตกรรมยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ คือ คู่มือการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาของรัฐในการแก้ไขบําบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดซ้ำ โดยได้นำสาระสำคัญของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมาปรับใช้ในการจัดทำแผนการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดซ้ำในคดีอาญา ซึ่งต้องยึดหลักในการปฏิบัติที่สำคัญ 5 ประการ คือ

1. หลีกเลี่ยงการลงโทษที่ทำลายคุณลักษณะประจำตัว หรือลดทอนคุณค่าในตัวของผู้กระทำผิด 2. ใช้วิธีการอื่นแทนการลงโทษจําคุกระยะสั้น 3. โทษต้องเหมาะสมกับการกระทำผิดเป็นรายบุคคล 4. เมื่อผู้กระทำผิดได้แก้ไขฟื้นฟูพฤติกรรมดีแล้วให้หยุดการลงโทษ และ 5. ให้มีการปรับปรุงการลงโทษระหว่างที่มีการคุมขัง

ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ที่สำคัญของการใช้กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในแผนแก้ไขบําบัดฟื้นฟูฯ คือ การสำนึกผิดของเด็กและเยาวชน ดังนั้น จึงควรเริ่มต้นด้วยการนําเด็กและเยาวชน ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยเพื่อจัดทำแผนแก้ไขบําบัดฟื้นฟูก่อน จากนั้นจึงคัดกรองเด็กหรือเยาวชนออกเป็นกลุ่มๆ เช่น กลุ่มทดลองเสพ กลุ่มผู้ติด กลุ่มผู้จำหน่าย เป็นต้น แล้วเข้าสู่กระบวนการแก้ไขบําบัดฟื้นฟู โดยการมีส่วนร่วม ของหน่วยงานในระดับท้องถิ่นและชุมชน

...

นายอุกฤษฏ์ ศรพรหม ผู้จัดการโครงการส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ จาก ITJ กล่าวว่า หัวใจสำคัญของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ อันดับแรก เป็นความยืดหยุ่นในการออกแบบกระบวนการ เพื่อให้สอดคล้องกับความเสี่ยงและปัจจัยของการกระทำความผิดทั้งภายในและภายนอก เช่น สภาพแวดล้อมการอบรมเลี้ยงดู เพศ อายุ การกระทำความผิดครั้งแรก เป็นต้น อันดับสอง เป็นการมีส่วนร่วม ของบุคคลที่แวดล้อมตัวเด็กและเยาวชนจำนวนมาก โดยเฉพาะภาครัฐที่มีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ พนักงานอัยการ หรือแม้กระทั่งครูที่อยู่ในโรงเรียน มีส่วนสำคัญในการที่จะช่วยกำหนดแผนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการบำบัดฟื้นฟูพฤติกรรมของเยาวชนได้

นางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ ประธานมูลนิธิสถาบันศึกษาและพัฒนาการจัดการ ความขัดแย้งด้วยสันติวิธี (ส.พ.ส.) กล่าวว่า แม้ขณะนี้ พ.ร.บ.ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้แล้ว แต่กรณีของเด็กและเยาวชน มีการกำหนดไว้ในมาตรา 8 ว่าไม่ให้บังคับใช้กับกรณีเด็กและเยาวชน ดังนั้น หากต้องการผลักดันให้มีการนำกระบวนการไกล่เกลี่ยมาใช้ในกรณีเด็กและเยาวชน คงต้องเสนอให้มีการปรับแก้ พ.ร.บ.ไกล่เกลี่ยฯ ในมาตรา 8 โดยให้เปิดกว้างให้ใช้ในกรณีที่เด็กและเยาวชนกระทำความผิดและมีอัตราโทษทางอาญาไม่เกิน 5 ปีด้วย