นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เผยว่า ขณะนี้เป็นช่วงการปลูกมันสำปะหลังต้นฤดูฝน ขอให้ผู้ปลูกมันสำปะหลังให้ระวังโรคใบด่างมันสำปะหลังและโรคพุ่มแจ้มันสำปะหลัง เนื่องจากเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดได้ทางท่อนพันธุ์ หากเกิดการระบาดในพื้นที่แล้วจะส่งผลทำให้ปริมาณและคุณภาพของผลผลิตลดลง และกระทบกับรายได้ของเกษตรกร
“อาการของโรคใบด่างมันสำปะหลัง ยอดอ่อนและใบแสดงอาการด่างเขียวอ่อนหรือเหลืองสลับเขียวเข้ม ใบมีขนาดเรียวเล็ก หงิกงอ และเสียรูปทรง การแพร่ระบาดมีสาเหตุมาจากท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่เป็นโรคและแมลงหวี่ขาวยาสูบเป็นแมลงพาหะถ่ายทอดเชื้อสาเหตุ”
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรแนะนำวิธีการป้องกัน กำจัด ให้เลือกท่อนพันธุ์ที่สะอาดและทนทานโรคใบด่างมันสำปะหลัง ได้แก่ พันธุ์ระยอง 72 เกษตรศาสตร์ 50 ห้วยบง 60 และไม่ควรปลูกพันธุ์อ่อนแอต่อโรคใบด่างมันสำปะหลัง ได้แก่ระยอง 11 และ CMR 43-08-89
พร้อมทั้งทำลายต้นมันสำปะหลังที่แสดงอาการของโรคใบด่างโดยวิธีฝังกลบ วิธีใส่ถุงหรือกระสอบ และวิธีบดสับ ส่วนการกำจัดแมลงหวี่ขาวยาสูบ โดยพ่นสารเคมีกำจัดแมลงตามคำแนะนำของกรมวิชา การเกษตร และเฝ้าระวังพืชอาศัยของแมลงหวี่ขาวยาสูบ เช่น กะเพรา โหระพา ผักชี ฝรั่ง พริก มะเขือ มันฝรั่ง และพืชตระกูลถั่ว รวมทั้งพืชอาศัยของเชื้อไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง เช่น สบู่ดำ ละหุ่ง บริเวณแปลงปลูกมันสำปะหลังด้วย
...
“สำหรับอาการของโรคพุ่มแจ้มันสำปะหลัง ยอดมันสำปะหลังจะแตกพุ่มฝอยมากกว่าปกติใบมีขนาดเล็ก ใบมีสีเหลืองซีด เมื่อลอกเปลือกบริเวณที่แสดงอาการยอดพุ่ม ใต้เปลือกจะมีเส้นสีดำ ข้อปล้องสั้น มีเพลี้ยจักจั่นเป็นแมลงพาหะถ่ายทอดเชื้อ และมีต้นสาบม่วงเป็นพืชอาศัยของโรค”
วิธีการป้องกัน กำจัด ให้ใช้ท่อนพันธุ์สะอาดจากแหล่งพันธุ์ที่ไม่พบการระบาด หลังปลูกไปได้ 1 เดือน หากพบต้นแตกยอดเป็นพุ่มผิดปกติให้ถอนทิ้ง ปลูกได้ 4 เดือน หากพบต้นที่แตกยอดพุ่ม ให้หักกิ่งห่างจากบริเวณยอดพุ่มประมาณ 30 เซนติเมตรทิ้ง และพ่นสารกำจัดแมลงให้ทั่วแปลงเพื่อกำจัดเพลี้ยจักจั่นที่เป็นพาหะนำโรค รวมทั้งกำจัดวัชพืชทั้งในแปลงและรอบแปลง โดยเฉพาะต้นสาบม่วงที่เป็นพืชอาศัยของโรค และบำรุงต้นมันสำปะหลังให้แข็งแรงโดยการให้ปุ๋ย น้ำและปรับปรุงดินอย่างเหมาะสม.