CPAC Green Solution จัดงาน Thailand: The New Chapter of Green Construction Forum 2023 รวมพลัง สร้างการเปลี่ยนแปลง สู่อุตสาหกรรมก่อสร้างสีเขียวอย่างยั่งยืน ณ อาคารอเนกประสงค์ เอสซีจี สำนักงานใหญ่ บางซื่อ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา เพื่อสร้างความตระหนักและกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลักดันภาคการก่อสร้างของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมาย ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด ให้สอดคล้องกับนโยบายของประเทศและระดับโลก

โดย นายชนะ ภูมี Vice President Sustainability SCG กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน พร้อมเผยว่า SCG ตั้งเป้าหมายระยะยาวในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2050 สำหรับธุรกิจซีเมนต์ได้ใช้แนวทาง ในการลดก๊าซเรือนกระจกตาม 7 Levers ใน Thailand Net Zero Cement & Concrete Roadmap 2050 ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Global Cement & Concrete Association (GCCA) ซึ่งหนึ่งใน Lever สำคัญที่จะลดก๊าซเรือนกระจก คือ Efficiency in Design and Construction โดยการเพิ่มประสิทธิภาพของการก่อสร้างผ่านการออกแบบ การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่ เป็นต้น

“SCG มองเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เป็นเรื่องระยะยาว และไม่ใช่แค่ SCG ที่ทำ แต่เราพยายามพา Stakeholders และร่วมมือกับทุกภาคส่วน มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกันตามแนวทาง ESG 4 Plus ได้แก่ 1. มุ่ง Net Zero 2. Go Green 3. Lean เหลื่อมล้ำ และ 4. ย้ำร่วมมือ” นายชนะ กล่าว

ด้าน ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวเปิดงานว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เนื่องจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 105 ล้านตัน หรือ 28% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของประเทศไทยในปี 2562 (2019) ในขณะที่อุตสาหกรรมก่อสร้างทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ยอยู่ที่ 39% หากอุตสาหกรรมก่อสร้างไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ การที่จะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นสังคมคาร์บอนต่ำ ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ การเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ (Climate change) เป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ ภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทย ตั้งเป้าไม่ให้อากาศสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส จากเป้าหมายเดิมอยู่ที่ 2 องศาเซลเซียส

“งานวันนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญ ที่เน้นย้ำความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการลดการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยมุ่งสู่ Net Zero ในปี 2593 (2050) ได้สำเร็จ และคงขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยให้เท่าเทียมหรือนำหน้าประเทศอื่น เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความมั่นคงให้ประเทศเรา” ดร.พิรุณ กล่าว

ดร.แอนดรูว์ มินสัน Concrete and Sustainable Construction Director จาก Global Cement and Concrete Association (GCCA) กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการผลักดันเรื่องนี้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซีเมนต์และคอนกรีต ที่ได้จัดทำ Net Zero Roadmap สำเร็จเป็นประเทศแรกของโลก พร้อมทั้งได้นำเสนอรายละเอียดแนวทางการลดคาร์บอน เพื่อมุ่งสู่ Net Zero ตาม 7 Levers ของ GCCA พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงบทบาทของผู้เกี่ยวข้องในงานก่อสร้าง ที่จะช่วยผลักดันไปสู่การก่อสร้างสีเขียว

นอกจากนี้ ในงานมีการจัดเสวนาในหัวข้อ “How to execute green construction in Thailand” โดยมี รศ.ดร.สมิตร ส่งพิริยะกิจ ประธานสาขาวิศวกรรมโยธา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, นายสุเมธ มีนาภา รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง, นางสาวลิซ่า งามตระกูลพานิช นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และ นายชูโชค ศิวะคุณากร Head of Environment Social Governance & Business Stakeholder Engagement บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ร่วมเสวนา 

โดยบนเวทีเสวนา ดร.สมิตร กล่าวว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างของไทย เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง หลังการประชุม COP26 โดยมีการออกข้อกำหนดการก่อสร้าง (Building Code) เช่น ข้อกำหนดด้านโครงสร้างคอนกรีต และข้อกำหนดด้านโครงสร้างเหล็ก ข้อกำหนดด้านวัสดุ เป็นต้น นอกจากนี้ ทางวิศวกรรมสถานฯ กำลังเร่งทำเรื่อง High Performance Concrete ให้เสร็จปีนี้ เพื่อส่งเสริมการใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติที่ดี และปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง

นายสุเมธ กล่าวว่า ทางกระทรวงมหาดไทยให้การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเต็มที่ โดยพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนร่วมกับภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในฐานะผู้ออกกฎกระทรวงเพื่อกำกับดูแล คือ จะทำอย่างไรให้การออกกฎหมายสอดคล้องและก้าวทันกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะปกติการออกกฎหมายแต่ละฉบับ จะใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะทางกระทรวงฯ ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากกฎหมายจะมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ และมีผลกระทบในวงกว้าง ครอบคลุมตั้งแต่รายย่อยถึงรายใหญ่ 

นางสาวลิซ่า กล่าวถึง ความท้าทายหลัก 3 ประการ ที่ทำให้การผลักดันเรื่องสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมก่อสร้างให้เป็นรูปธรรมช้ากว่าที่ควร ได้แก่ 1. ความท้าทายด้านการเงิน ต้นทุนในการก่อสร้างแบบกรีน มักจะสูงกว่าต้นทุนการก่อสร้างแบบทั่วไป 2. ความท้าทายด้านการศึกษา บุคลากรในวงการก่อสร้าง มักขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของวัสดุก่อสร้าง ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสถาบันการศึกษาพัฒนาบุคลากร ไม่ทันกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ และ 3. ความท้าทายด้านความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน ที่ผ่านมาทางภาครัฐมักออกกฎระเบียบเพื่อควบคุม แต่ไม่มีมาตรการเชิงบวกในการจูงใจคนให้ลงทุนกับเรื่องนี้ เช่น การลดภาษีสำหรับโครงการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น 

นายชูโชค กล่าวว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างของไทย มีมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านบาทต่อปี โดยมูลค่าของของเสีย (Waste) จะอยู่ที่ 10-30% หรือเฉลี่ยสองแสนล้านบาทต่อปี หากเรา Turn Waste To Value ได้ ก็จะเป็นการสร้างมูลค่ามหาศาล ทั้งในแง่ของรายได้และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างของไทย เพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สามารถทำได้

โดยการก่อสร้างที่เน้นทำงานนอกไซต์งาน เพื่อลดระยะเวลาและสามารถควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐาน การทำงานแบบ Modularity คือ การทำงานแบบแยกส่วนงาน แล้วเข้ามาต่อเชื่อมที่หน้างาน การนำ Digital และ Technology เข้ามาช่วยลดความผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานก่อสร้าง สร้างความเชื่อมโยงในการทำงานร่วมกัน และสุดท้ายคือการยกระดับทักษะ ทั้งผู้ที่ทำงานอยู่ในปัจจุบันและนักศึกษาที่จะเติบโตขึ้นมาในอนาคต นอกจากนี้ควรสร้างความสมดุลระหว่างภาคธุรกิจและสิ่งแวดล้อมให้ไปด้วยกันได้ และต้องเน้นที่การลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง


จากนั้นในช่วง Showcase Implementation : Innovation in Green Construction โดย นางสาววลัย เจริญพันธ์ BIM & Digital Advisory Lead บริษัท โอฟ อาหรุบ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่ปรึกษาและออกแบบชั้นนำ ระดับโลก ได้ยกตัวอย่างการนำนวัตกรรมไปใช้ผ่านกรณีศึกษาในต่างประเทศ เช่น โครงการ Shougang Industry Services Park ในประเทศจีน ซึ่งเป็น Climate Positive โครงการแรกในประเทศจีน มีการออกแบบให้เป็น Net Zero ทั้งภายในและบริเวณรอบนอกโครงการ และมีการวางระบบให้เป็น Sponge City ไม่ปล่อยน้ำที่มีการปนเปื้อนลงในแม่น้ำ หรือโครงการ AIRSIDE ในฮ่องกง ที่ทาง โอฟ อาหรุบ เป็นผู้ออกแบบ โดยคำนึงถึงเรื่อง well-being และมีการใช้เทคโนโลยี Digital Twin เข้ามาใช้ในการบริหารโครงการ เป็นต้น

จบท้ายด้วย ดร.กฤษฎา ศรีสมพร Green Construction Group Leader บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด ขึ้นเวทีพูดถึงนวัตกรรม เพื่อรองรับการเป็น Green Construction โดยยกกรณีศึกษาสะพานเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งออกแบบและก่อสร้างด้วยเทคโนโลยี UHPC (Ultra-high Performance Concrete) 3D Printing และ BIM (Building Information Modeling) จนกลายเป็นสะพานคอนกรีตที่บางที่สุดแห่งแรกในประเทศไทยและอาเซียน 

แม้ว่าประเทศไทยจะยังต้องเจอความท้าทายอีกมากมาย เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ และ Net Zero ตามที่ประกาศไว้ แต่ก็เป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม ที่ทุกภาคส่วนจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลก และมีส่วนร่วมกับจุดยืนของประเทศไทยต่อประชาคมโลก ในการยกระดับเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593 (2050) เพื่อให้บรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2608 (2065) ในทุกสาขา ควบคู่ไปกับการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน และรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ

#ซีแพค #ซีแพคกรีนโซลูชัน #CPAC #CPACGREENSOLUTION
#ThailandTheNewChapterofGreenConstructionForum2023
#TheNewChapter #LowCarbon #GreenConstruction #NetZero