นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เผยว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการร่วมมือเพื่อป้องกันปัญหาภาวะโลกร้อน (Global Warming) และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) กรมวิชาการเกษตรจึงได้ศึกษาวิจัยพืชไร่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยที่มีศักยภาพในการดูดซับก๊าซเรือนกระจกและกักเก็บคาร์บอนไว้ในพืชและในดิน พบว่า อ้อย พืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ที่มีพื้นที่ปลูกอ้อยรวม 10.8 ล้านไร่ มีโอกาสที่จะกักเก็บคาร์บอนไว้ในระบบปลูกอ้อยได้ และสามารถดูดซับคาร์บอน ไดออกไซด์จากบรรยากาศ โดยกระบวนการสังเคราะห์แสงและนำมาสะสมในรูปของมวลชีวภาพในส่วนต่างๆของอ้อย
“จากการประเมินศักยภาพการดูดซับก๊าซเรือนกระจกและการกักเก็บคาร์บอนในพืช พบว่า อ้อยแต่ละพันธุ์มีศักยภาพการดูดซับก๊าซเรือนกระจกและการกักเก็บคาร์บอนแตกต่างกันขึ้นอยู่กับระยะการเจริญเติบโตของพืช ตำแหน่งใบ สภาพพื้นที่ปลูกและการจัดการดินและน้ำ งานวิจัยสรุปได้ว่าการปลูกอ้อย 1 ไร่ ให้ผลผลิตเฉลี่ย 18.1 ตัน สามารถดูซับคาร์บอนในรูปส่วนเหนือดินอ้อยเฉลี่ย 3,698 กก.CO2 หรือช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศได้ 13,559 กก.CO2 โดยอ้อย 1 ตันสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ได้ 581 กก.CO2”
...
อธิบดีกรมวิชาการเกษตรเผยอีกว่า ประเทศไทยที่มีพื้นที่ปลูก 10.8 ล้านไร่ ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 7.21 ตัน จะสามารถช่วยดูดซับคาร์บอนในบรรยากาศมาอยู่ในรูปของลำอ้อยทั้งหมดได้ 215.1 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม การเลือกพันธุ์อ้อยและการจัดการแปลงปลูกที่เหมาะสม นอกจากจะช่วยเพิ่มผลผลิตของอ้อยแล้วยังสามารถเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในพืชได้อีกด้วย
“งานวิจัยบ่งชี้ได้ว่าปริมาณอินทรีย์คาร์บอนมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับปริมาณชีวมวล ดังนั้นการปลูกอ้อยให้ได้อินทรีย์คาร์บอนจำนวนมากจึงต้องใช้หลักการเดียวกันกับการเพิ่มผลผลิต ซึ่งมีลักษณะทางการเกษตรที่เกี่ยวข้อง คือ จำนวนลำกับความสูง เส้นผ่าศูนย์กลางลำ และน้ำหนักลำ ดังนั้นเมื่อพิจารณาพันธุ์อ้อยที่มีศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนสูงควรเป็นพันธุ์อ้อยที่ให้ผลผลิตสูง และมีการจัดการสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมเพื่อช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและการสร้างผลผลิต ส่งผลให้มีการดูดซับก๊าซเรือนกระจกและกักเก็บคาร์บอนได้สูงขึ้น” นายระพีภัทร์ กล่าว.