• ผลสำรวจ "จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า" ในคอนโดกรุงเทพฯ ยังขาดแคลน
  • ชาวคอนโดฯ ต้องทบทวนให้ดี ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า อาจเจอค่าชาร์จแพงกว่า 2 เท่าของค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ กฟน. กำหนด
  • แนะประเทศไทยปรับใช้กฎระเบียบกำหนดให้อาคารใหม่ ติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารองรับผู้ใช้งานในอนาคต


ช่วงนี้กระแสรถยนต์ไฟฟ้า (BEV: Battery Electric Vehicles) กำลังมาแรง สังเกตได้จากจำนวนรถที่วิ่งบนท้องถนนสามารถพบได้มากขึ้น สำหรับคนอาศัยอยู่ที่บ้านเมื่อตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หลายคนได้ติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านเพื่อความสะดวกสบาย แต่คนที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม ห้องพัก อาจจะประสบปัญหาจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอ และค่าไฟฟ้าที่สูงก็เป็นอุปสรรคหลักในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่

จากผลสำรวจล่าสุดเดือนมิถุนายน 2565 โดย เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า โครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV มีประมาณ 3% นอกจากนี้ประมาณ 3 ใน 4 ของคอนโดมิเนียมที่มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านั้น มีจุดชาร์จรองรับได้เพียง 1 หรือ 2 คันพร้อมกันเท่านั้น

...

โดยรวมแล้วโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีพื้นที่สำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริดได้เพียงประมาณ 400 คัน

ชาวคอนโดมิเนียมชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ถูกกว่ารถเติมน้ำมันจริงไหม

ในปัจจุบัน คอนโดมิเนียมใช้รูปแบบการกำหนดราคาชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลาย โดยการกำหนดราคาตามเวลา (64%) เป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุด รองลงมาคือการชำระค่าไฟฟ้าตามปริมาณที่ใช้ไป (31%) มีเพียง 1% ที่ใช้รูปแบบการคิดราคาคงที่ ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาหรือหน่วยไฟฟ้า และอีก 4% มีบริการจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า แบบไม่คิดค่าใช้จ่าย

โดยส่วนใหญ่แล้ว การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบต BEV ในอาคารหรือคอนโดมิเนียมนั้น ไม่ได้ถูกอย่างที่คิด มากกว่าครึ่งของโครงการคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล คิดอัตราค่าไฟฟ้าตามหน่วยคือ 10 บาทต่อกิโลวัตต์ ซึ่งมากกว่า 2 เท่าของค่าไฟฟ้าสูงสุดที่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กำหนดที่ 4.7 บาท

ทำให้ผู้บริโภคที่คิดจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BEV เพื่อลดค่าน้ำมัน จำเป็นต้องกลับไปทบทวนการตัดสินใจอีกครั้งเพราะการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า BEV ในคอนโดส่วนใหญ่จำเป็นต้องเสียค่าชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ได้ถูกกว่าการเติมน้ำมันในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE: Internal Combustion Engine) ที่ประหยัดน้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ไฮบริด

การวิจัยพบว่า 90% ของคอนโดมิเนียมมีที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าขนาด 22 กิโลวัตต์ ซึ่งมากเกินความจำเป็นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ณ ปัจจุบันที่ส่วนใหญ่ยังรองรับการชาร์จแบบธรรมดาด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) ได้ไม่เกิน 7 กิโลวัตต์ อีกทั้งราคาของที่ชาร์จขนาด 22 กิโลวัตต์ก็สูงกว่าราคาที่ชาร์จขนาด 7 กิโลวัตต์ ถึง 20%

สิงคโปร์-จีน-ฮ่องกง ออกกฎระเบียบใหม่ รองรับกระแสรถยนต์ไฟฟ้า

 
ขณะนี้ รัฐบาลทั่วภูมิภาคเอเชียเริ่มมีการออกกฎระเบียบใหม่เพื่อรองรับกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโต ยกตัวอย่าง เช่น ในประเทศสิงคโปร์ ได้กำหนด 8 พื้นที่นำร่องที่อยู่ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาการเคหะที่รองรับประชากรในประเทศสิงคโปร์ถึง 20% นั้น จะต้องมีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 3-12 จุดต่ออาคารภายในปี 2568 หรือประมาณ 12,000 จุดโดยรวม โดยนโยบายดังกล่าวจะถูกบังคับใช้กับพื้นที่ที่อยู่ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาการเคหะทั้งหมดในประเทศสิงคโปร์ภายในปี 2573 

นอกจากนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ยังมีการสนับสนุนเงินทุนสูงสุดถึง 50% สำหรับเครื่องชาร์จอัจฉริยะ (Smart Chargers) ทั้งหมด อีกทั้งสิงคโปร์ยังมีแผนที่จะออกกฎหมายใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าอาคารมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพียงพอสำหรับ 15% ของที่จอดรถสำหรับติดตั้งจุดชาร์จ 7.4 กิโลวัตต์ และอย่างน้อย 1% ของที่จอดรถจะต้องเป็นที่จอดรถที่มีที่ชาร์จ EV

ด้านจีน มีเมืองใหญ่หลายเมืองที่ได้ออกกฎหมายบังคับให้อาคารใหม่ติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของประชากร ในขณะที่ฮ่องกงกำลังสนับสนุนการพัฒนาอาคารปัจจุบันเพื่อการติดตั้งโครงสร้างที่รองรับจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยให้เงินทุนสูงถึง 4,000 เหรียญสหรัฐต่อพื้นที่จอดรถ สำหรับที่จอดรถทั้งหมด 140,000 แห่งภายในปี 2571 โดยคิดเป็นมูลค่ารวมสูงถึง 450 ล้านเหรียญสหรัฐ

...

นอกจากนี้ ผลการสำรวจในปี 2564 โดย เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) เกี่ยวกับความสนใจของผู้บริโภคในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า พบว่าข้อกังวลหลักคือ เวลาในการชาร์จที่ยาวนาน (50%) ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งจุดชาร์จที่บ้าน (40%) และปัญหาที่พบในการติดตั้งจุดชาร์จที่บ้าน (20%)

โจนาธาน วาร์กัส รุยซ์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ประจำภูมิภาคอาเซียน บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ปัจจุบันดังกล่าวเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำหรับรัฐบาลไทยในการบรรลุเป้าหมายด้านการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) เนื่องจากในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประชาชนมากกว่า 1 ใน 3 อาศัยอยู่ในอาคารและอพาร์ตเมนต์ ดังนั้นเพื่อเร่งความคืบหน้าในการเปลี่ยนให้คนไทยหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานของจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัวจำเป็นต้องรองรับให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค

เพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืนในอนาคต ประเทศไทยควรมีการเริ่มปรับใช้กฎระเบียบเพื่อกำหนดให้อาคารใหม่ติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และดูแลให้มีโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าที่เหมาะสม เพื่อให้แน่ใจว่าการเติบโตของการปรับใช้รถยนต์ไฟฟ้า จะดำเนินต่อไปตามที่คาดไว้ การชาร์จที่บ้านมักจะเป็นวิธีการชาร์จทั่วไปสำหรับเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคสามารถชาร์จรถยนต์ได้แบบไร้ข้อกังวล

...

ผู้เขียน : J. Mashare

กราฟิก : Sathit Chuephanngam