วงจร...“มือ ตา จมูก ปาก” เป็นประตู ของการติดเชื้อไม่ใช่แต่ “โควิด-19”...โอมิครอนสายย่อย...“BA.4–BA.5” ที่หลุดรอดวัคซีนได้ยังมีไข้หวัดใหญ่ กลาง เล็ก และโรคทางเดินหายใจหลากหลาย แม้แต่...ฝีดาษลิง
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอดื้อ” ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกอีกว่า การใส่หน้ากาก ล้างมือ แยกตัว ยังจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับใครก็ตามที่ไม่สบายโดยไม่จำเป็นต้องถามว่าติดเชื้ออะไร และไม่เอาตัวเข้าไปในกลุ่มคนอื่น
“การสังเกตตนเองไม่แพร่ให้คนอื่นในครอบครัว ในสถานที่ทำงานเป็นการตัดวงจรการระบาด คนที่แข็งแรงประเมินระดับความเสี่ยงในกิจกรรมในสถานที่ที่เข้าไปใส่หน้ากากเก๋ๆแฟชั่นก็ได้นะครับ สวย หล่อได้”

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา สวทช. เห็นตรงกันว่า ทุกคนสามารถติดโควิดได้ถ้าเปิดโอกาสให้ไวรัสเข้าสู่ร่างกาย “ไวรัส”...ไม่รู้จักหรอกครับว่าใครเป็นใคร ฉีดวัคซีนสูตรดีที่สุดในโลกมากี่เข็มหรือจะสามารถชี้นำได้ว่าโควิดเป็นโรคประจำถิ่นได้หรือยัง ถ้าเปิดโอกาสไวรัสไม่เสียโอกาสนั้นครับ...
...
งานวิจัยชิ้นหนึ่งเพิ่งลงตีพิมพ์ในวารสาร Nature Medicine โดยทีมวิจัยของฮ่องกงเกี่ยวกับสูตรการทำนายประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของวัคซีนโควิด-19 สูตรปัจจุบัน (สายพันธุ์ Wuhan) กับการเปลี่ยนแปลงของไวรัสที่เกิดขึ้นตรงจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโปรตีนหนามสไปค์
โดยการเก็บข้อมูลของงานวิจัยเรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผลของวัคซีน จากงานวิจัย 49 ชิ้น จำนวนตัวอย่างรวมเกือบ 2 ล้านคนจาก31พื้นที่ในหลายประเทศ โดยทีมวิจัยบอกว่าถ้าใช้สูตรที่พัฒนาขึ้นจะพบว่า ประสิทธิภาพของวัคซีน mRNA ต่อเดลตาคำนวณออกมาได้ 82.8% ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขของจริงที่83%
ถ้านำสูตรดังกล่าวมาคิดกับวัคซีนในแพลตฟอร์มต่างๆ ทีมวิจัยพบว่า ค่าประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของวัคซีนจะลดลงตามไวรัสที่เปลี่ยนไปไม่เท่ากัน โดยวัคซีนที่ลดลงไวที่สุดคือ วัคซีนกลุ่มเชื้อตายและวัคซีนกลุ่มโปรตีนซับยูนิต โดยความชันของกราฟใกล้เคียงกัน

แต่...ประสิทธิภาพของวัคซีนกลุ่มเชื้อตายเริ่มต้นน้อยกว่ากลุ่มโปรตีนซับยูนิต ทำให้กลุ่มเชื้อตายดูเหมือนเสียประสิทธิภาพต่อการเปลี่ยนแปลงของไวรัสได้ไวที่สุด ส่วนกลุ่ม Viral vector มีความชันของกราฟใกล้เคียงกับกลุ่ม mRNA แต่ค่าประสิทธิภาพของ mRNA เริ่มต้นมีสูงกว่ากลุ่ม Viralvector
จึงทำให้ mRNA สามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงของไวรัสได้สูงกว่าวัคซีนรูปแบบอื่นๆ
ทีมวิจัยนำสูตรการทำนายนี้มาใช้กับไวรัสโอมิครอนที่กำลังเปลี่ยนแปลงหนีวัคซีนไปเรื่อยๆ และพบว่าเชื้อตายและโปรตีนซับยูนิตไม่มีประสิทธิภาพต่อโอมิครอนทุกตัว ขณะที่ Viral vector เหมือนจะมีประสิทธิภาพต่อ BA.1 ที่ประมาณ 10+%
แต่พอไวรัสเปลี่ยนเป็น BA.1.1, BA.2 และ BA.3 ประสิทธิภาพออกมาต่ำกว่า 0 วัคซีนกลุ่ม mRNA เป็นกลุ่มเดียวที่ยังมีประสิทธิภาพเหลืออยู่ในโอมิครอนทุกกลุ่มที่นำมาคำนวณ แต่ลดลงจาก 33% ต่อ BA.1 เหลือ11.9% ต่อ BA.2 และอื่นๆ...คาดว่าตัวเลขต่อ BA.4/5 คงอาจทำให้ mRNAหล่นต่ำกว่านั้นอีก
เป็นข้อมูลที่น่าสนใจครับ และทำให้เห็นว่าวัคซีนอาจจะจำเป็นต้องอัปเดตกันเสียที และถ้ามีเครื่องมือแบบนี้ช่วยทำนายก็จะช่วยในการออกแบบวัคซีนได้ไวขึ้นกว่าเดิมอีกเยอะครับ
อีกข้อมูลน่าสนใจจากหน่วยงานทางสาธารณสุขของฝรั่งเศสรายงานความแตกต่างระหว่างอาการป่วยของผู้ป่วยโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ BA.1 และ BA.4–BA.5 ที่เก็บข้อมูลจากผู้ป่วยในฝรั่งเศสค่อนข้างชัดครับว่าBA.4-BA.5 อาจมีอาการเยอะกว่าโอมิครอนตัวแรก โดยเฉพาะอาการหายใจลำบาก
พบใน BA.4-BA.5 มากกว่าผู้ป่วย BA.1 กว่า 3 เท่า ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ผู้ป่วยที่ติด BA.4-BA.5 มีโอกาสต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลมากกว่า...นอกจากนี้ผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียก็ดูแตกต่างกันพอสมควรครับ...และเป็นที่น่าสังเกตว่า เด็กเล็กติด BA.4–BA.5 มากกว่า BA.1 และผู้สูงอายุมากๆ ที่รับวัคซีนครบและกระตุ้นมาแล้วถูก BA.4–BA.5 หนีภูมิได้ดีกว่ามาก

...
ดร.อนันต์ บอกอีกว่า หลายๆคนเชื่อว่าโควิดถ้าติดครั้งแรกแล้วครั้งต่อๆไปจะเบาลง ติดต่อไปเรื่อยๆจนในที่สุดเราจะสามารถอยู่กับโรคนี้ได้เหมือนไข้หวัดธรรมดา เป็นแนวคิดที่มองโควิดเทียบกับโรคประจำถิ่นอื่นๆ แต่ยังไม่มีงานวิจัยเอาตัวเลขออกมาเทียบแบบจริงจังว่า...
ความเสี่ยงจากการป่วยโควิดจากการติดซ้ำมากหรือน้อยกว่าติดครั้งแรกอย่างไร
ผมไปเห็นข้อมูลชิ้นนึงที่กำลังส่งตีพิมพ์ในวารสารเครือ Nature เห็นแล้วค่อนข้างตกใจครับ เพราะจากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยโควิดในสหรัฐอเมริกาจำนวนหลักแสนคนคือ ผู้ติดเชื้อครั้งเดียว (257,427 คน) และ ผู้ติดเชื้อซ้ำคือติดมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป (38,826 คน)...โดยใช้ข้อมูลกลุ่มควบคุมคือ คนที่ยังไม่เคยติดมากถึงเกือบ 5 ล้านสี่แสนคน โดยดูความเสี่ยงของอาการป่วยในหลายระบบ ทั้งทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ระบบประสาท สภาวะจิตใจหรือการเสียชีวิตในช่วง 6 เดือน หลังติดเชื้อ
ผลการวิเคราะห์ออกมาชัดว่า กลุ่มที่ติดโควิดซ้ำมีความเสี่ยงสูงขึ้นกว่ากลุ่มติดครั้งแรกอย่างชัดเจน ความเสี่ยงดังกล่าวดูเหมือนจะพบได้ในกลุ่มที่ฉีดวัคซีนก่อนติดเชื้อซ้ำด้วยเช่นกัน อาการป่วยจะเห็นชัดที่หลังติดเชื้อซ้ำว่ารุนแรงกว่าติดครั้งแรก และสามารถยาวออกเป็นลองโควิด (long covid) ได้มากกว่า
“ตัวเลขนี้ถ้าเป็นตามที่วิเคราะห์มาจริงๆจะสำคัญมากครับ เพราะแนวคิดที่ให้เราติดโควิดซ้ำๆเหมือนเป็นวัคซีนจากธรรมชาติ จะกลายเป็นเหมือนการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย คงต้องรอดูว่า...งานนี้ถ้าออกมาตีพิมพ์แล้วจะเปลี่ยนแนวคิดการอยู่กับโควิดได้หรือไม่นะครับ”
น่าสนใจอีกว่า การติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในผู้ป่วยโควิดมีข้อมูลระบุว่า ส่งผลไปถึงคุณสมบัติของจุลชีพต่างๆที่อยู่ในลำไส้ (Gut microbiota) ของผู้ป่วยด้วย โดยผู้ป่วยที่ถึงแม้จะสามารถกำจัดไวรัสให้หมดไปจากร่างกายแล้ว แต่ผลจากการติดเชื้อนั้นส่งผลให้ระบบจุลชีพในลำไส้เปลี่ยนแปลงไป
...

หนึ่งในงานวิจัยจากทีมวิจัยในบราซิลนำตัวอย่างจุลชีพที่แยกออกมาจากอุจจาระของ กลุ่มผู้หายป่วย (ปลอดเชื้อแล้ว) กับ กลุ่มผู้ไม่เคยติดเชื้อ แล้วไปศึกษาในหนูว่ามีอะไรที่แตกต่างกัน สิ่งแรกคือหนูที่ได้จุลชีพจากกลุ่มผู้ป่วยโควิดจะตอบสนองต่อการติดเชื้อแบคทีเรียทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าหนูจากกลุ่มปกติมาก
นอกจากนี้แล้วอาการอักเสบจากการติดเชื้อในปอดก็ออกมาชัดว่ารุนแรงกว่า ที่น่าสนใจคือหนูที่ได้จุลชีพจากกลุ่มโควิดมีพฤติกรรมความจำ หรือการนึกคิดที่แย่ลง เชื่อว่า...อาจมีสาเหตุเกิดจากการหลั่งสารกระตุ้นการอักเสบชนิด TNF-alpha มากขึ้น และมีการสร้างสารสื่อประสาทในระบบประสาทที่น้อยลง
ซึ่งทั้งหมดไม่ได้มาจากไวรัสโดยตรง แต่มาจากระบบจุลชีพในลำไส้ที่เปลี่ยนแปลงไป
ทีมวิจัยยังได้ลองให้หนูกินโปรไบโอติกเพื่อช่วยปรับระบบจุลชีพในลำไส้ให้ดีขึ้น ก็พบว่าอาการทางระบบประสาทในหนูที่กินโปรไบโอติกดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานข้างต้นคือ สมดุลของจุลชีพในลำไส้ถูกทำให้เสียไปจากการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ซึ่งผลเสียอาจมีมากกว่าอาการที่พบในระบบทางเดินอาหารอย่างเดียว
...
ที่สำคัญ...อยู่กับผู้ป่วยไปนานหลังจากไวรัสถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว
ปริศนา “โอมิครอน”...สายพันธุ์ “BA.4–BA.5” ยังน่ากลัว ทว่า...ลองโควิดก็ยังน่ากังวล.