"อนุทิน" ปิดจ็อบประชุมสมัชชาอนามัยโลก พา "ไทย" จับมือ "WHO" ตั้ง "BIOHUB" พัฒนายา-วัคซีนสู้โรคระบาด ด้าน "ดร.เท็ดรอส" โพสต์ขอบคุณไทยฉีดวัคซีนโควิดฯถึงเป้า 70 เปอร์เซ็นต์
เมื่อวันที่ 25 พ.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ได้หารือกับ ดร.เท็ดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ถึงการร่วมพัฒนาขีดความสามารถในการป้องกันโรคระบาดในอนาคต ที่นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างการประชุมสมัชชาอนามัยโลก (WHA) สมัยที่ 75 ล่าสุดที่เฟซบุ๊ก นายอนุทิน ปรากฏภาพ นายอนุทิน ขณะกำลังไหว้ทักทาย ดร.เท็ดรอส ไปจนถึงสมาชิกที่เข้าร่วมหารือ พร้อมระบุข้อความว่า "Soft Power of using Thainess ยิ้มก่อน ไหว้ก่อน เรื่องที่คิดว่ายากก็จะง่ายขึ้นเยอะ เข้าเยี่ยมคารวะ Dr. Tedros Ghebreyesus เลขาธิการองค์การอนามัยโลก หรือ WHO อย่างเป็นทางการที่สำนักงานใหญ่ของ WHO ในเจนีวาวันนี้"
นายอนุทิน ระบุต่อว่า "ประเทศไทยได้รับคำชื่นชมและเชื่อมั่นในการบริหารจัดการสถานการณ์โรคระบาดโควิดจากองค์การอนามัยโลก และได้มีการส่งทีมงานสำรวจมาทำการศึกษาระบบการจัดการและการควบคุมโรคของไทย ซึ่งผลสรุปของคณะทำงานที่ออกมาเรียบร้อยแล้ว จะถูกนำไปวางเป็นแนวทางและมาตรฐานร่วมในการออกข้อปฏิบัติ สำหรับการบริหารจัดการโรคระบาดของ WHO สำหรับประเทศสมาชิกทั่วโลกต่อไป โดยเฉพาะในประเด็นการควบคุมป้องกันโรค การตอบสนองต่อโรคระบาด การฉีดวัคซีน การรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อ และ ระบบ อสม.ที่เข้มแข็ง"
"นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์กลางทางชีวภาพ WHO BIOHUB ร่วมกัน เพื่อรวบรวมเชื้อโรคต่างๆที่มีอยู่แล้วนำมาวิเคราะห์ ศึกษา วิจัย เพื่อพัฒนาให้เป็นยาและวัคซีนต่อไป โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ได้ลงนามในความร่วมมือนี้ เพราะมีความพร้อมมากที่สุด" นายอนุทิน ระบุ
...
ขณะที่ ทวีตเตอร์ของ ดร.เท็ดรอส ปรากฏภาพและข้อความแปลเป็นไทยว่า "จากบทเรียนโควิด-19 ประเทศไทยได้ลงนามความร่วมมือแบ่งปันความรู้ด้านชีวภาพ BioHub ความร่วมมือนี้จะช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อโรคต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และทำการวิจัยเพื่อพัฒนาเครื่องมือในการรับมือวิกฤติด้านสาธารณสุข และขอบคุณ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุขของไทย สำหรับความพยายามอย่างเข้มแข็งในการควบคุมโควิด-19 จนบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีน 70% และมุ่งมั่นให้เกิดความเท่าเทียมด้านวัคซีน และยินดีกับความร่วมมือในการถ่ายทอดข้อมูลเรื่องระบบหลักประกันสุขภาพ"