ครม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคาะ โครงการคนละครึ่งเฟส 4 ออกมาแล้ว เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน แต่กลับลดวงเงินเหลือคนละ 1,200 บาท จากเดิมคนละ 1,500 บาท โดยให้สิทธิ 29 ล้านคน ใช้เงินงบประมาณทั้งสิ้น 34,800 ล้านบาท ท่ามกลางราคาสินค้าอุปโภคบริโภคแพงขึ้นมากมาย ไม่เพียง “เนื้อหมูไทยจะแพงที่สุดในโลก” วันนี้ “น้ำมันปาล์ม” ที่คนไทยใช้ประกอบอาหารในบ้าน ร้านอาหารและอุตสาหกรรม กำลังจะกลายเป็น “น้ำมันปาล์มที่แพงที่สุดในโลก” ทั้งที่ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันปาล์ม แต่ประเทศผู้ซื้อน้ำมันปาล์มจากไทยกลับขายถูกกว่าไทย
ปัญหาใหญ่ของคนไทยวันนี้คือ ข้าวของแพงทั้งแผ่นดิน แต่ค่าแรงขั้นต่ำเท่าเดิม ไม่พอค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น แต่ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี กลับไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย ทั้งที่ พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งชู พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ก็ใช้นโยบาย “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” หาเสียงจน พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ ถือเป็นนโยบายที่ผูกพันกับนายกฯโดยตรง
คุณธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกสำนักนายกฯ แถลงว่า โครงการคนละครึ่งเฟส 4 แจกคนละ 1,200 บาท รัฐสนับสนุนเป็น ค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป บริการนวดสปา ทำผม ทำเล็บ และ บริการขนส่งสาธารณะจากภาครัฐ ในอัตรา 50% แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน เริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.2565 ถึงวันที่ 30 เม.ย.2565 เป็นเวลา 3 เดือน เงินแค่นี้จะไปพอยาไส้อะไรในยุคค่าครองชีพแพงทั้งแผ่นดิน เงิน 1,200 บาท ใช้วันละ 150 บาท 8 วันก็หมดเกลี้ยงแล้ว อีก 82 วันในห้วงเวลา 3 เดือน จะให้ประชาชนอยู่อย่างไร
การแจกเงินคนละ 1,200 บาท ให้เป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน 3 เดือน ตกเดือนละ 400 บาท โดย ใช้เงินงบประมาณสูงถึง 34,800 ล้านบาท เป็นการ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำโดยแท้ เพราะ ไม่สามารถแก้ปัญหาค่าครองชีพแพงให้ประชาชนได้ ในขณะที่ รัฐบาลปล่อยให้สารพัดสินค้าขึ้นราคากันอย่างบ้าคลั่ง เช่น หมู เป็ด ไก่ น้ำมันปาล์ม ทั้งที่ เป็ดไก่ไม่ได้ขาดตลาด แต่แห่ขึ้นราคาตามเนื้อหมู เพราะรู้ว่ารัฐบาลไร้น้ำยา แก้ปัญหาไม่ได้ บริหารไม่เป็น
...
หนทางเดียวที่ รัฐบาลจะแก้ปัญหาความเดือดร้อนจากค่าครองชีพของประชาชนได้ ก็คือ ต้องลดค่าครองชีพลงมา ทั้ง ข้าวปลาอาหาร หมูเห็ดเป็ดไก่ หรือไม่ รัฐบาลก็ต้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ให้สมดุลกับค่าครองชีพที่แพงขึ้น ต้องสร้างงานให้ประชาชนทำเพิ่มขึ้น เพื่อ เพิ่มรายได้ให้เพียงพอกับค่าครองชีพ แต่รัฐบาลกลับไม่ได้ทำสักอย่าง ได้แต่แจกเงิน “คนละครึ่ง” เป็น เบี้ยหัวแตก ผลาญงบประมาณกันไป
สุดท้าย เงินภาษีหลายหมื่นล้านบาทที่แจกไปคนละ 1,200 บาท ก็ถูกนำไปซื้อสินค้าสำเร็จรูปเป็นหลัก แล้วก็ไป เข้ากระเป๋าบริษัทเศรษฐี เป็นกระเป๋าสุดท้าย
สินค้าอุปโภคบริโภคไทยที่กำลังทำสถิติ “ราคาแพงที่สุดในโลก” ตามหลัง “ราคาเนื้อหมู” ก็คือ “น้ำมันปาล์ม” คาดว่า ราคาขายปลีกขวดลิตรจะขึ้นไปที่ขวดละ 70 กว่าบาทต่อขวด ทั้งที่เป็น สินค้าควบคุม ของ กระทรวงพาณิชย์ น้ำมันปาล์มได้ทยอยขึ้นราคามาตั้งแต่ปี 2564 แล้ว คนกระทรวงพาณิชย์รู้ดี และมาเร่งสปีดขึ้นราคาช่วงปลายปี 2564 มาถึงวันนี้ราคาน้ำมันปาล์มขายกันขวดละกว่า 60 บาท เกินราคาควบคุมไปแล้ว
ที่น่าสืบหาก็คือ มี “ไอ้โม่ง” รวยจากน้ำมันปาล์มที่ขึ้นราคาไปหรือไม่ เพราะ ราคาน้ำมันปาล์มดิบ ปัจจุบันขึ้นไป กิโลละ 56-57 บาท แพงกว่าราคาตลาดโลกถึงกิโลละ 12-13 บาท แม้แต่ น้ำมันปาล์มดิบในมาเลเซีย ซึ่ง นำเข้าน้ำมันปาล์มดิบจากไทย ปีที่แล้วนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นกว่า 385% วันนี้น้ำมันปาล์มดิบในมาเลเซียขายกันตันละ 5,425 ริงกิต ทอนออกมาเป็นเงินบาทไทย ตกกิโลละ 43-44 บาท มันเป็นไปได้อย่างไร มาเลย์นำเข้าน้ำมันปาล์มดิบจากไทย แต่ขายถูกกว่าไทยกิโลละ 13 บาท เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ และ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรัฐมนตรีพาณิชย์ ต้องตอบให้ประชาชนหายสงสัย
ก็ได้แต่หวังว่า ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย นะครับ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”