ร้ายไม่แผ่ว “โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน” ที่เข้ามาระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทยได้ไม่นานก็สร้างความปั่นป่วนไม่มีท่าทีจะยอมแพ้โดยง่าย และกระจายเชื้อไปในหลายจังหวัดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

กระทั่งเกิดปรากฏการณ์ “ยอดตัวเลขการติดเชื้อรายใหม่พุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด” นับแต่ผู้คนเดินทางกลับภูมิลำเนา ท่องเที่ยว หรือจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองกันในช่วงเทศกาลปีใหม่ จนทำให้กระทรวงสาธารณสุขต้องยกระดับเตือนภัยโควิด-19 เป็นระดับ 4 เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตัวดังนี้ คือ...

งดเดินทางไปสถานที่เสี่ยง เลี่ยงสถานที่งานกิจกรรมรวมตัวคนหมู่มาก ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด งดโดยสารรถสาธารณะ หากจำเป็นจริงก็เดินทางได้ งดเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่จำเป็น และคนเดินทางกลับมาจากต่างประเทศต้องเข้าสู่ระบบกักตัวเข้มงวด

แนวโน้มการระบาดโอมิครอนระลอกใหม่นี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า แม้การติดเชื้อโอมิครอนมีอาการป่วยไม่รุนแรง แต่ก็มีความสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากวัคซีน หรือภูมิคุ้มกันติดเชื้อครั้งก่อน ดีมากกว่าสายพันธุ์เดลตา

...

ดังนั้นในช่วงเวลา 3 สัปดาห์แรกนับจากเทศกาลปีใหม่ 2565 จะเริ่มมีจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อโอมิครอนไต่ระดับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าจะขยายเป็นวงกว้างพีกสูงสุดราวกลางเดือน ก.พ.นี้ที่จะเป็นตัวชี้วัดประเมินระดับสถานการณ์ความรุนแรงของการระบาดระลอกนี้ว่ามีโอกาสเข้ามาแทนสายพันธุ์เดลตาได้กี่เปอร์เซ็นต์

แล้วประเมินต่อว่า “ความรุนแรงโอมิครอนที่เกิดนี้” มีผลกระทบต่อผู้สูงอายุ คนมีโรคประจำตัว หรือคนฉีดวัคซีนไม่ครบ รวมถึงผู้ได้รับการฉีดครบ 2 เข็มแต่เป็นนานกว่า 3-5 เดือนหรือไม่อย่างไร...?

ซ้ำร้ายเท่าที่ประเมินเบื้องต้นแบบเร็วๆ “ผู้ติดเชื้อโอมิครอน” น่าจะเกินหมื่นคนต่อวันแน่นอน เพราะการฉีดวัคซีนกระตุ้นขณะนี้ไม่อาจยับยั้งได้ เพียงแต่เป็นการหน่วงเวลาไม่ให้ติดเชื้อพร้อมกันมโหฬารทันทีทันใดเป็นหลักแสนคนต่อวัน เพราะในจำนวนนี้จะต้องมีคนที่ไม่ได้รับวัคซีนปะปนร่วมอยู่ด้วย

แม้แต่ได้วัคซีนแล้วแต่ตกอยู่ใน “กลุ่มสูงอายุ มีโรคประจำตัว” มักทำให้วัคซีนด้อยประสิทธิภาพลงแล้วมีอาการป่วยรุนแรงขึ้น สุดท้ายต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ที่ต้องได้รับการรักษาด้วยเครื่องช่วยหายใจเพิ่มเป็นเงาตามตัวมากพร้อมกัน ส่งผลต่อระบบสาธารณสุขเกิดวิกฤติ หรือบุคลากรทางการแพทย์ทำงานหนักยิ่งขึ้นอีก

ยิ่งกว่านั้นในเวลานี้ “ผู้คนการ์ดตกหละหลวมการป้องกัน” ทำให้การติดเชื้อพุ่งสูงถึงหลักแสนคนต่อวันได้ไม่ยาก แม้ว่าทุกคนมีวินัยป้องกัน หรือฉีดวัคซีนประสิทธิภาพสูงก็ไม่อาจรอดจากการติดเชื้อโอมิครอนไปได้ เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่า วัคซีนมาตรฐาน 3 เข็ม ป้องกันการติดโอมิครอนได้เพียง 40-70% ในระยะแรก 1 เดือน

นับแต่การฉีดเข็มสุดท้ายเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 2-3 ประสิทธิภาพในการป้องกันก็ลดลงเหลือ 40% ในที่สุด “ทุกคนต้องติดเชื้อโอมิครอน” เพียงแต่จะติดช้าหรือติดเร็วเท่านั้น อย่างเช่น “ประเทศอังกฤษ” ก็มีข้อมูลเป็นประสบการณ์ไม่ว่าผู้เคยฉีดวัคซีน หรือเคยติดโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมแล้วก็ยังติดเชื้อโอมิครอนใหม่ได้ด้วยซ้ำ

“ฉะนั้นแม้โอมิครอนมีความเสี่ยงต้องเข้าโรงพยาบาลน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา 30% เสียชีวิตน้อยกว่า 60% แต่มีผลต่อคนสูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ที่จะได้รับผลกระทบเต็มๆ ดังนั้นการดึงหน่วงติดเชื้อจะช่วยโรงพยาบาล และบุคลากรสาธารณสุขที่จะค่อยๆติดเชื้อตามไปด้วยพอมีเวลาหายใจหายคอกันได้บ้าง” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ว่า

...

ตอกย้ำว่า “วัคซีนยังช่วยลดอาการป่วยได้” ที่จะเป็นตัวสร้างภูมิต้านทานช่วยลดความรุนแรงในการติดเชื้อโอมิครอนนี้ แต่สิ่งที่ควรต้องระวัง “ที-เซลล์ภูมิต้านทานโควิด-19” ที่เป็นหน่วยความจำจากการติดเชื้อตามธรรมชาติหายดีแล้วจะสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันขึ้นมาเป็นตัวป้องกันอาการรุนแรงมักจะหายหมดในเวลา 6 เดือน

ตามข้อมูลก่อนหน้านี้เคยมี “ทดสอบความทรงจำที-เซลล์” ด้วยการฉีดวัคซีน 2 เข็ม และวัคซีนกระตุ้นแบบไขว้อีก 1 เข็มให้ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 ปรากฏว่า วัคซีนไม่สามารถกระตุ้นที-เซลล์ตื่นขึ้นมาในการทำหน้าที่หาเซลล์ติดเชื้อ หรือเชื้อโรค เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกไปจากร่างกายได้ด้วยซ้ำ

หนำซ้ำ “ภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อสายพันธุ์เก่า” ที่นับว่าเป็นภูมิคุ้มกันดีที่สุดกลับไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ที่เกิดการระบาดใหม่ได้ เพราะรหัสพันธุกรรมไวรัสแตกต่างกัน แต่ในส่วนการยับยั้งอาการป่วยต้องขึ้นอยู่กับ “ความจำที-เซลล์” ที่ยังมีความสามารถในการจดจำเป้าหมาย

...

ทำให้เซลล์ชนิดนี้สามารถตอบสนองกับเชื้อโรคตัวเดิมที่เคยเจอก็จะกำจัดทิ้งได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าร่างกายมี “ที-เซลล์” อยู่ในสภาพนอนหลับปลุกไม่ตื่น ก็ไม่อาจจำกัดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้าสู่ร่างกายได้เช่นเดิม

ดังนั้น เวลาการพูดว่า “ที-เซลล์ช่วยสร้างภูมิต้านโอมิครอนเมื่อไวรัสหลบเลี่ยงแอนติบอดี” อาจจำเป็นต้องตรวจหาที-เซลล์หายไปหรือไม่ แล้วยังสามารถกระตุ้นการทำหน้าที่มีประสิทธิภาพระดับใด เพราะโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ครั้งนี้ มีทั้งสายพันธุ์โอมิครอนปะปนสายพันธุ์เดลตารวมอยู่ด้วยกัน

ด้วยหลักการ “เดลตา” มักมีอาการติดเชื้อหนักแต่แพร่ระบาดช้ากว่า “โอมิครอน” ที่มีอาการป่วยเบาบางกว่าแต่แพร่กระจายเชื้อง่ายได้เร็ว ดังนั้นภาวนาว่า “คงไม่มีตัวใหม่แตกหน่อออกมาเพิ่มขึ้นอีก” ที่เป็นไวรัสควบรวมเก่งทั้งการระบาดเร็วและอาการหนักได้พร้อมกัน เรื่องนี้ต้องเฝ้าติดตามกันใน 6 สัปดาห์นับจากปีใหม่เป็นต้นไปนี้

...

ประเด็น “รับมือการระบาดระลอกใหม่” หน่วยงานรัฐคงช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะตลอด 2 ปีที่ผ่านมามักทำงานตั้งรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการกระจายวัคซีนที่ยังไม่ครอบคลุมมากนัก แล้วยังมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นตามมามากมาย แต่ถ้า “โอมิครอนอาการไม่รุนแรง” เสนอให้ฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนังที่มีความปลอดภัย

มิเช่นนั้นจะกลายเป็นว่า...ติดเชื้อไวรัสโอมิครอนอาการป่วยไม่หนัก แต่กลับฉีดวัคซีนเจอผลข้างเคียงจนอาจต้องเข้าโรงพยาบาลแทนก็ได้

ประการต่อมา ถ้า “ไม่ต้องการให้ผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียวเข้าโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น” หน่วยงานภาครัฐจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยารักษาโควิด-19 ได้ง่ายๆ ในกรณีตรวจเจอเชื้อแล้วเริ่มรักษาตั้งแต่วินาทีแรก ด้วยฟ้าทะลายโจร ไอเวอร์แมคติน ฟลูวอกซามีนหรือฟลูออกซิทีน ที่มีกลไกยับยั้งไวรัสได้เช่นกัน

สิ่งสำคัญ “สามารถตัดวงจรลดการระบาดสู่การติดเชื้อในเด็กเล็กที่ยังไม่มีวัคซีน” แม้ว่าเด็กติดเชื้อแล้วมักมีอาการไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่การติดเชื้อโอมิครอนก็อาจมีอาการคงค้างที่เรียกว่า long COVID ที่จะส่งผลกระทบระยะยาว เพราะอย่าลืมว่า “เด็ก” ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 60-70 ปี อาจต้องทุกข์ทรมานหลายปีก็ได้

ย้ำต่อว่า...“เรื่องโอมิครอนมีผลต่อ long COVID” ยังมีข้อมูลไม่ชัดเจนอันมาจากการระบาดมีมาได้ 2-3 เดือน แต่ว่าก็พอมีข้อมูล “long COVID ทั่วไป” ดังที่มีการรวบรวมสถิติทั่วโลกจากหลายสถาบันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่ติดโควิด-19 มักได้รับผลกระทบเกิดขึ้นถึง 30% ที่มีอาการในระบบต่างๆ

ทั้งเรื่องอ่อนล้า นอนไม่หลับ อาการแข็งเกร็งตะคริว หัวใจเต้นผิดปกติ และมีอย่างน้อย 8% กระทบต่อระบบการทำงานของสมอง กล่าวคือ โรคสมองเสื่อมเร็วขึ้น ในส่วน “เด็กเล็ก” มักเกี่ยวกับพัฒนาสมองช้า แต่ถ้าโอมิครอนมีผลต่อ long COVID จริงๆ ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อคนในประเทศเป็นวงกว้างมากมายตามมา

ถ้าหากพูดถึง “เด็กติดเชื้อโอมิครอน” ก็คงมีอาการป่วยไม่รุนแรงแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นทั่วไป แต่มักเป็นตัวแพร่กระจายเชื้อไปสู่ “กลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว” ดังนั้นแม้เรารักษาตัวป้องกันตามมาตรการคำแนะนำของสาธารณสุขดีเพียงใดก็ยังมีโอกาสติดเชื้อโอมิครอนได้สูงเช่นเดิม

ฉะนั้นเราคงต้องป้องกันขั้นสูงสุด ฉีดวัคซีนครบโดส เตรียมยารักษาไว้ เพื่อช่วยระบบสาธารณสุขไม่ให้ล่มสลายแล้ว “คนไทย”หวังว่าโควิดจะจบลงไม่เกินกลางปีนี้ เพื่อประกาศอิสรภาพกัน.