การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดปี 2563-2564 ทำให้สถานการณ์การเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกเกิดอาการกลับตาลปัตร และกลายเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

เช่นเดียวกับประเทศไทย ที่เห็นได้จากในปี 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยสูงเป็นประวัติการณ์ จำนวน 39.92 ล้านคน สร้างรายได้ 1.91 ล้านล้านบาท เมื่อรวมกับรายได้ของคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ 172.74 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 1.08 ล้านล้านบาท ทำให้มีรายได้รวมจากการท่องเที่ยวสูงถึง 2.99 ล้านล้านบาท

ขณะที่ในปี 2563 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยเพียงช่วง 3 เดือนแรกก่อนโควิด-19 ระบาดอยู่ที่ 6.7 ล้านคน สร้างรายได้ 332,000 ล้านบาท ในขณะที่ในปีนั้น คนไทยที่เที่ยวในประเทศก็ลดลง อยู่ที่ 90.52 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 482,468 ล้านบาท ทำให้มีรายได้รวม 814,468 ล้านบาท

ส่วนในปี 2564 จากเดิมที่คาดว่าจะดีขึ้นกว่าปี 2563 เพราะเป็นปีที่ทั่วโลกเริ่มมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 แต่การแพร่ระบาดของทั่วโลกและในประเทศไทยยังหนักหน่วงตลอดทั้งปี แม้ประเทศไทยได้เริ่มต้นเปิดประเทศโดยทำโครงการ ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ในวันที่ 1 ก.ค. 2564 จนถึงเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจาก 63 พื้นที่/ประเทศ โดยไม่มีการกักตัว ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 เป็นต้นมา

แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดยังไม่หยุดนิ่ง ทำให้ตลอดปี 2564 นี้ จำนวนของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาประเทศไทยและรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งของชาวต่างชาติและคนไทยเที่ยวในประเทศ ได้ลดลงจากปี 2563 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมายและแนวโน้มของจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ตลอดแทบทุกเดือน

อย่างไรก็ตาม ทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ ททท. เชื่อว่า ปี 2564 คงเป็นปีที่มีรายได้ต่ำสุดของการท่องเที่ยวแล้ว และมุ่งหวังว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยในปี 2565 เป็นต้นไปจะเริ่มฟื้นตัว เป็นลักษณะ V Shape ในโอกาสที่ใกล้สิ้นปี 2564 เราจึงได้เชิญบุคคล 2 ท่านผู้เป็นผู้วางนโยบายและเป็นผู้ดำเนินการปฏิบัติด้านการบริหารการท่องเที่ยวของประเทศไทยในการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่จะโหมโรงขึ้นในปี 2565

พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา
พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา

“ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว หากเมื่อใดที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างชัดเจน รัฐบาลเชื่อมั่นว่านโยบายการเปิดประเทศจะมีส่วนสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวให้กลับมาเดินหน้าต่อไปได้”

คาดการณ์ว่าในปี 2565 ถ้าประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดได้เป็นอย่างดี จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย 8-15 ล้านคน และสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย ได้ประมาณ 1.3-1.8 ล้านล้านบาท และในปี 2566 คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาประเทศไทย ประมาณ 20 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศในสถานการณ์ที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 จำเป็นต้องมีขั้นตอนที่นักท่องเที่ยวต้องดำเนินการเพิ่มมากขึ้นจากขั้นตอนปกติ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา จึงจัดทำระบบการอำนวยความสะดวกให้กับผู้เดินทาง (Ease of travelling) บนเว็บไซต์ Entry Thailand เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก ให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยอย่างครบวงจร

ทั้งการยื่นขอวีซ่าออนไลน์ การซื้อประกันสุขภาพ การตรวจสอบตารางการให้บริการเกี่ยวกับการเดินทาง ที่พัก สถานที่กักตัวที่ได้มาตรฐาน การค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยว การขอคืนภาษี และมาตรการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวผ่านการขอความช่วยเหลือจากตำรวจท่องเที่ยว

การดำเนินการดังกล่าว เป็นการยกระดับการเดินทางเข้าประเทศไทยลดขั้นตอนในการใช้บริการต่างๆ เพื่อสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว ตลอดการเดินทาง ตั้งแต่เข้ามาถึงประเทศไทย จนกระทั่งเดินทางกลับภูมิลำเนา

ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

ในปี 2565 ททท. ต้องหนักแน่นในการเดินหน้าเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่อไป แม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน แต่หลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทยต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR จากประเทศต้นทาง และตรวจซ้ำเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย สามารถคัดกรองผู้ที่ติดเชื้ออย่างได้ผล โดยพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพียง 0.17% ของจำนวนผู้เดินทางเข้าประเทศ และการตรวจด้วยวิธี RT-PCR สามารถตรวจหาผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนได้

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาประเทศไทยตลอดปี 2564 กำลังลุ้นว่าจนถึงสิ้นปีจะถึง 400,000 คน เมื่อรวมกับรายได้ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกับคนไทยที่เดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ จะอยู่ประมาณ 600,000 ล้านบาท เชื่อว่าเป็นในปี 2564 เป็นจุดต่ำสุดของการท่องเที่ยวแล้ว

“ททท.จึงตั้งเป้าหมายการทำงานในปี 2565 สร้างรายได้รวมจากการท่องเที่ยว 1.12 ล้านล้านบาท ภายใต้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 10 ล้านคน สร้างรายได้ 630,000 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน 62,580 บาทต่อทริป ซึ่งเชื่อว่าทำได้ เมื่อพิจารณาจากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาภายใต้โครงการ ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน 70,240 บาทต่อทริป เพิ่มขึ้น 47% เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายต่อคนของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2562”

ขณะที่มีเป้าหมายคนไทยเที่ยวภายในประเทศ 120 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 490,000 ล้านบาท ถ้าเกิดกรณีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ถึงเป้า ททท.จะส่งเสริมคนไทยเที่ยวในประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้การฟื้นตัวของท่องเที่ยว เป็นรูปแบบ V Shape ให้ได้

ทั้งนี้ ภายใต้เป้าหมายดังกล่าว ทิศทางการขับเคลื่อนในปี 2565 จะต้องให้ความสำคัญของการท่องเที่ยวต่อเศรษฐกิจไทย “เร่งฟื้นตัว ลุกเร็ว ก้าวไว เติบใหญ่ เข้มแข็ง” และวางรากฐานไปสู่การเป็นการท่องเที่ยวมูลค่าสูง และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

ในปี 2565 จะเป็นปีแห่งการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย มุ่งสู่การเน้นคุณค่าและความยั่งยืน มุ่งเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ เพื่อสร้างรายได้นำไปสู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมทั้งกระจายความมั่งคั่งสู่ท้องถิ่นชุมชน สร้างความสมดุลระหว่างแหล่งท่องเที่ยวและความต้องการของนักท่องเที่ยว ด้วยการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพ และอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ตลอดจนสร้างความยั่งยืนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตามกรอบแนวคิด BCG หรือเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) เป็นหลัก

สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ ที่มีความเต็มใจใช้จ่ายสูง และนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ประกอบด้วย ประชากรผู้มีความมั่งคั่งสูง ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ ผู้ต้องการทำงานจากประเทศไทย ผู้ที่มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ กลุ่มมิลเลนเนียล (Gen Y) กลุ่มแอ็กทีฟ ซีเนียร์ นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และนักท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเต็มใจจ่ายเพิ่มเพื่อตอบสนองคุณค่าประสบการณ์และการสร้างสังคมสุขภาวะ

นอกจากนี้ ททท.จะมุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความยั่งยืน โดยสนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปปรับใช้ในการเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และให้ความสำคัญกับการลงทุนในการพลิกโฉมสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และร่วมพัฒนานวัตกรรมบนพื้นฐานของเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาทักษะทางดิจิทัล

สำหรับการเดินหน้าและเตรียมความพร้อมสู่ยุคต่อไปของการท่องเที่ยวไทย (Next Generation of Thai Tourism) ททท. จะตั้งบริษัทลูกเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล และผลักดันให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมคริปโต (Crypto-positive Industry) ตลอดจนใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโทเคน (Token Economy) ด้วยการใช้ประโยชน์จากสกุลเงินดิจิทัล หรือคริปโตเคอร์เรนซี

รวมทั้งการใช้ประโยชน์จาก Non-Fungible Token (NFT) ซึ่งเป็นคริปโตเคอร์เรนซีประเภทหนึ่งที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ ปัจจุบันถูกใช้อย่างมากในสินทรัพย์ที่มีความเฉพาะตัวสูงในงานศิลปะต่างๆ เช่น ภาพวาด กราฟิก วิดีโอและเพลง โดย ททท. จะนำมาใช้ประโยชน์กับการท่องเที่ยว เช่น เมื่อมาเที่ยวประเทศไทยแล้วไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ทิ้งขยะในพื้นที่ท่องเที่ยวก็ได้เหรียญดิจิทัลเป็นสิ่งตอบแทน หรือมาท่องเที่ยวในประเทศไทยแล้วสามารถเก็บเหรียญดิจิทัลที่จะให้ไปใช้ประโยชน์ หรือกิจกรรมต่างๆ ได้ รวมทั้งในอนาคต ททท. ยังเตรียมผลักดันให้เกิดมาร์เก็ตเพลสเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยวด้วย

นอกจากนี้ ททท. จะสร้างโลกเสมือนจริงทางการท่องเที่ยว (Metaverse Platform for Tourism) เริ่มต้นจากการนำสวนทุเรียนของไทยจากจังหวัดระยอง จันทบุรี นนทบุรี ศรีสะเกษ มาอยู่ในโลกเสมือนจริง เพื่อให้เกิดการซื้อขายกัน และนำส่งทุเรียนให้ลูกค้าได้ในโลกของความจริงอีกด้วย

ทั้งหมดนี้ คือ การปรับโครงสร้างเพื่อพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทย ที่จะต้องเกิดขึ้นในปี 2565.