บ้านเมืองที่ผมรู้จักเต็มไปด้วยนักกฎหมายขึ้นชื่อ แต่หาคนที่ชาวบ้านรักและเลื่อมใสไม่ค่อยได้ ผมนึกถึงเปาบุ้นจิ้นขึ้นมา อยากรู้นักว่าท่านเปาตัวจริงๆเป็นไง?
ในแลหลังแดนมังกร ชุดประวัติศาสตร์จีน (ถาวร สิกขโกศล แปล นานมีบุ๊คส์ พ.ศ.2542) เล่าว่า เกิดในรัชสมัยพระเจ้าซ่งหญินจง ราชวงศ์ซ่งเหนือ คนจีนเรียกเปาจิ้น (พ.ศ.1542-1605) เป็นคนอำเภอเหอเฝย เมืองหลู่โจว
คดีหนึ่งตอนเป็นนายอำเภอเทียนฉาง เมืองหยางโจว ชาวนาร้องทุกข์ วัวถูกตัดลิ้นไป ตามจับคนร้ายให้ด้วย เปาจิ้นบอกให้ชาวนาฆ่าวัวเอาเนื้อไปขายแบบเงียบๆ ไม่กี่วันมีคนมาแจ้งความ ชาวนาขายเนื้อวัวเถื่อน
“เจ้าแอบมาตัดลิ้นวัวเขาไป ยังมากลั่นแกล้งเขาอีก” เปาจิ้นได้ตัวคนร้าย ชายผู้นั้นจำนนสารภาพ
คดีนี้ดูก็ธรรมดา คดีต่อไป พ่อค้าขายหม้อ มือหนึ่งแบกหม้อเหล็ก อีกมือลากชายขาเป๋ ฟ้องเปาจิ้นว่า เป็นตัวการลักหม้อไปแล้วห้าลูก ลูกที่หกจับได้คาหนังคาเขา ขอให้พิจารณาลงโทษ
ชายเป๋โต้แย้งเสียงดัง “ใต้เท้า มันใส่ร้ายข้า ข้ามีแขนเดียว ขาเดียว จะไปลักหม้อเหล็กที่แสนหนักนี้ได้ยังไร”
เปาจิ้น ดูลักษณ์พ่อค้าหม้อซื่อตรง ก็พอเดาได้ แต่เพื่อให้ได้
ความจริง จึงต้องใช้อุบาย หันไปตวาดใส่พ่อค้าหม้อ แล้วตัดสิน “เอาล่ะ เป็นอันว่าเจ้าถูกใส่ความ เพื่อเป็นการชดเชยให้ ข้ายกหม้อเหล็กใบนี้ให้เจ้า”
ชายขาเป๋ลืมตัว เขยกเข้าหาหม้อเหล็ก เอามือข้างเดียวจับไว้มั่น ก้มตัวใช้หัวช้อนหม้อขึ้นแบก เดินเขยกออกไป “กลับมา เจ้าขโมยเจ้าเล่ห์” เปาจิ้นตวาด หัวขโมยจนแต้มสารภาพ
คดีนี้แสดงไหวพริบในการชำระคดีง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอะไรนัก
เรื่องต่อไป เปาจิ้นเลื่อนเป็นเจ้าเมืองหลู่โจว ญาติพี่น้องดีใจ หลายคนเที่ยวใช้อิทธิพลรังแกคนอื่น
...
คนหนึ่งเป็น “น้า” เปาจิ้นสั่งจับตัดสินโบยตามตัวบทกฎหมาย ปัญหาโรคพระญาติระบาดก็ระงับ
มาถึงคดีใหญ่ ตอนเปาจิ้นเป็นเจ้าเมืองไคเฟิง แม่น้ำหุ้ยหมินที่ไหลผ่านเมืองถูกขุนนางและผู้มีอิทธิพล บุกรุกถมที่สร้างอุทยาน พอฝนตกหนักน้ำท่วมใหญ่ ระบายไม่ทัน ชาวบ้านละแวกริมน้ำเดือดร้อนเรื่อยมาหลายปี
ถึงปีนั้น แม่น้ำหลากมาท่วมเมือง เปาจิ้นสั่งรื้อสวนดอกไม้ ขุนนางผู้มีอิทธิพล มีโฉนดที่ดิน แต่สอบแล้วออกโดยมิชอบ เปาจิ้นสั่งเพิกถอนสิทธิครอบครอง ทำให้การขุดลอกแม่น้ำคืบหน้า จนน้ำไหลผ่านสะดวก
คดีนี้ ชื่อเสียงเปาจิ้นเลื่องลือ ย้ายเป็นเจ้าเมืองตวนโจว เมืองนี้ผลิตจานฝนหมึกฝีมือเยี่ยม แต่ต้องส่งจำนวนหนึ่งเข้าเป็นของหลวง
เจ้าเมืองคนก่อนๆ มักสั่งทำเกินจำนวน ยักเป็นของใช้ส่วนตัว หรือเป็นของกำนัลผู้ใหญ่
ตอนเปาจิ้นย้าย เขาไม่มีจานฝนหมึกติดไปใช้ส่วนตัวแม้แต่อันเดียว เรื่องนี้เป็นที่กล่าวขาน
รวมกับการใช้ชีวิตเรียบง่าย ทั้งการกินการอยู่ การแต่งกาย และที่อยู่อาศัย ลูกหลานในตระกูลเปาจิ้น หากฟุ้งเฟ้อทุจริต ห้ามกลับมาบ้าน ตายก็ห้ามหามศพมาฝังยังสุสานของตระกูล
เรื่องราวเปาจิ้นตัวจริง แค่นี้ เป็นเช่นนี้...ไม่ได้โลดโผนเหมือนเรื่องประหารราชบุตรเขยที่เคยดูในหนัง
แต่ชาวจีนเขาประทับใจ เปาจิ้นตัวจริงหน้าเกลี้ยงขาวแบบคนทั่วไป จึงต้องกลายเป็น “ท่านเปาหน้าดำ” เพราะ “หน้าดำ” คือสัญลักษณ์ของความซื่อตรงมั่นคง
พูดถึงเรื่องเปาบุ้นจิ้นในหนัง ครั้งหนึ่งนานเต็มที น่าจะถึงสามสิบปี เคยมีโปสเตอร์สูงเท่าตึกสองชั้น ขึ้นหนังสือตัวใหญ่ “อย่าปล่อยให้
คนชั่วลอยนวล” ผมเห็นแล้วยังงง...มารู้เอาตอนทีวีช่องสาม เอาหนังชุด เปาบุ้นจิ้นออกฉาย
สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้น่าจะมีคนคิดโฆษณาแบบนั้นบ้าง เพียงแต่ต้องเปลี่ยนถ้อยคำตามสถานการณ์ เป็น “อย่าปล่อยให้คนชั่วครองเมือง”
ก็จริงๆนี่นา! ก็เลว ก็ชั่ว เห็นๆกันเต็มตา รู้กันเต็มหัวใจ ขืนปล่อยให้ใหญ่ ทำอะไรก็ไม่เคยผิด ท่านเปาหน้าขาว เห็นทีจะต้องเปลี่ยนอาชีพไปขายผงซักฟอก เหมือนเคยขายมาแล้วครั้งหนึ่ง.
กิเลน ประลองเชิง