นับหนึ่งใหม่ ปลดล็อกดาวน์ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ดีขึ้นอย่างชัดเจน ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง
เป็นอีกก้าวหนึ่งที่จะบอกว่าประเทศไทย “ปลอดไวรัส” ก็ว่าได้ เริ่มด้วยรัฐบาลก็ประกาศลดมาตรการคุมเข้มชุดใหญ่
พูดง่ายๆว่าเกือบจะปกติทุกอย่างทั้งระบบ
แม้กระทั่งการเดินทางข้ามจังหวัด ทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบินก็สามารถดำเนินการได้ การไปมาหาสู่กันได้ทั้งประเทศ
ที่จะเห็นประโยชน์ชัดเจนก็คือ “เศรษฐกิจ” ที่จะโงหัวขึ้นมาแล้ว
เพราะมาตรการแทบทุกอย่างได้รับการผ่อนคลาย สามารถประกอบอาชีพต่างๆได้เกือบครบวงจร
หากรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปอย่างนี้ได้คงไม่น่าห่วงอะไรมากนัก โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด
เห็นบอกว่าสิ้นเดือน ก.ย.นี้ จะสามารถฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้ประชาชนได้ 3 ล้านคน ก็แสดงว่ามีความพร้อมที่จะระดมพลังเพื่อป้องกันได้อย่างเต็มที่
แสดงว่าสามารถจัดหาวัคซีนได้จำนวนมากพอที่จะกระจายได้อย่างทั่วถึง และยังเพิ่มแนวป้องกันให้เข้มแข็งเพิ่มขึ้นอีก
เดือนกันยายนจึงเป็นเดือนที่มีความหมายเป็นอย่างมาก
เพราะหากเกิดความผิดพลาด ณ จุดใดจุดหนึ่งก็จะเกิดการแพร่ระบาดในรอบที่ 4 ขึ้นมาอีก ทีนี้แหละยุ่งแน่
มันจะกลายเป็นสถานการณ์ “เรื้อรัง” ขึ้นมาทันที
หลายประเทศที่ผ่านสถานการณ์ที่ไม่ต่างกันอย่างสหรัฐอเมริกา อิสราเอล ประเทศในกลุ่มยุโรปต่างก็เผชิญมาแล้ว
แม้จะมีการฉีดวัคซีนในปริมาณที่มากกว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลก พูดง่ายๆว่ามีความพร้อมต่อการรับมือ
เหนือกว่าหลายเท่า...
แต่ก็เกิดจุดผิดพลาดได้เช่นกัน
กระทรวงสาธารณสุขประกาศว่า มีแผนการณ์เพื่อสร้างกลยุทธ์ในอีก 5 เดือนข้างหน้า เพื่อดูแลเรื่องนี้ทั้งระบบ
...
เป็นการใช้ชีวิตในแนวใหม่ที่มีความปลอดภัย ทำมาหากินได้
ที่สำคัญยังยืนยันว่าปีนี้จะมีวัคซีนพอเพียงและเตรียมการต่อไปถึงปีหน้าอีกด้วย คือสามารถจัดหาวัคซีนเพื่อรองรับเอาไว้แล้ว
คาดว่าในสิ้นปีนี้จะสามารถฉีดวัคซีนครบเข็มสอง 70% ของประชากรทั้งประเทศ
ว่าไปแล้วมาถึงขั้นนี้ ความห่วงกังวลเรื่องโควิด-19 น่าจะผ่อนคลายลงไปมาก แต่ขั้นต่อไปก็คือปัญหาเศรษฐกิจ
นี่ก็เป็นปัจจัยสำคัญ
ที่จะพิสูจน์ว่าประเทศไทยจะมีขีดความสามารถที่จะนำพาชาติไปข้างหน้าได้อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่
คงต้องระดมสมองจากทุกภาคส่วนมาช่วยกันคิดและออกแบบ
เผื่อจะได้มีอะไรใหม่ๆต่างไปจากสูตรสำเร็จที่คิดกันอยู่.
“สายล่อฟ้า”