สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจ และมีหลายคนตั้งคำถาม แต่อาจจะยังไม่ได้คำตอบ เกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งคำนวณดูแล้วเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 วางหลักไว้สำหรับการกู้ยืมเงิน ผู้ให้กู้สามารถเรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี หากผู้ให้กู้เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราดังกล่าว ถือว่าดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ และจะต้องนำดอกเบี้ยที่ชำระไปแล้วทั้งหมดไปหักกับต้นเงิน เนื่องจากการตกลงให้เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีนั้นเป็นการแสดงเจตนาทำนิติกรรมที่ละเมิดต่อกฎหมายโดยชัดเจน นิติกรรมจึงตกเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 2131/2560
ส่วนธนาคารพาณิชย์ ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 โดยธนาคารพาณิชย์สามารถเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้ โดยอาศัยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์มาตรา 14 แต่ทั้งนี้ธนาคารพาณิชย์จะต้องประกาศอัตราดอกเบี้ยด้วย จึงสามารถเรียกอัตราดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีได้
หากธนาคารพาณิชย์ไม่ได้ประกาศอัตราดอกเบี้ยไว้ ธนาคารพาณิชย์ก็ไม่สามารถที่จะเรียกดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีได้ หรือในกรณีที่มีการฟ้องร้องในศาล และฝ่ายลูกหนี้ยื่นคำให้การต่อสู้เรื่องการเรียกดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี ธนาคารพาณิชย์ก็มีหน้าที่นำสืบให้ศาลเห็นว่า มีสิทธิ์เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้ โดยจะต้องนำประกาศของธนาคารพาณิชย์มาแสดงต่อศาล
การที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ได้ประกาศอัตราดอกเบี้ยไว้ หรือไม่นำประกาศอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไปแสดงต่อศาล จะเป็นผลให้ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้ ทำให้ดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ ดังนั้น การชำระหนี้ของลูกหนี้ที่เป็นดอกเบี้ยจะต้องนำไปหักออกจากต้นเงินทั้งหมด
...
อ้างอิงคำพิพากษาฎีกา 2165/2548 โจทก์จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินกันวันที่ 13 มกราคม 2535 ส่วนประกาศของโจทก์เรื่องกำหนดอัตราดอกเบี้ยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2535 จึงไม่ใช่ประกาศที่ใช้บังคับในขณะทำสัญญากู้ยืมเงิน เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานอื่นใดที่ให้สิทธิโจทก์ในการเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี แม้โจทก์จะเป็นธนาคารพาณิชย์มิได้ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 654 แต่การคิดดอกเบี้ยของโจทก์จะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติของ พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ฯ มาตรา 14 ซึ่งกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด การที่โจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงินโดยไม่ปรากฏว่ามีประกาศของโจทก์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จึงเป็นปฏิบัติฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีในสัญญากู้ยืมเงินจึงตกเป็นโมฆะ เงินที่จำเลยได้ชำระมาและโจทก์นำไปหักดอกเบี้ยก่อนส่วนที่เหลือจึงเป็นต้นเงินตามรายการในการ์ดบัญชี เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเพราะเหตุโมฆะแล้ว โจทก์จึงไม่อาจนำเงินที่จำเลยชำระแล้วไปหักดอกเบี้ยได้ จำนวนเงินที่จำเลยชำระมาจึงต้องนำไปหักต้นเงินอย่างเดียว และไม่เป็นการชำระดอกเบี้ยอันไม่ชอบด้วยกฎหมายที่จำเลยไม่มีสิทธิเรียกคืน
สุดท้ายนี้ ขอฝากไว้สำหรับคนที่เป็นเจ้าหนี้ ควรเรียกดอกเบี้ยตามที่กฎหมายกำหนดจะดีที่สุด หากฝ่าฝืนกฎหมายนอกจากจะไม่ได้ดอกเบี้ยแล้ว อาจจะถูกดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราด้วย คนที่เป็นลูกหนี้ หากเป็นหนี้ก็ต้องชำระ ส่วนจะต่อรองขอลดดอกเบี้ย หรือขอความเห็นใจจากเจ้าหนี้ หรือขอผ่อนผันระยะเวลาชำระหนี้ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ หากทั้งสองฝ่ายเห็นใจซึ่งกันและกัน ก็จะสามารถที่จะเดินทางร่วมกันได้ และทำให้ปัญหายุติลงด้วยดี มิตรภาพที่มีให้กันก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมครับ
สำหรับท่านที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com ได้เลยครับ
Facebook: ทนายเจมส์ LK
Instagram: james.lk